จมูกข้าวสาลี ธัญพืชชั้นดี กับสารพัดคุณประโยชน์ที่คุณควรรู้
“ข้าวสาลี” เป็นพืชจำพวกธัญญาหาร มีถิ่นกำเนิดจากประเทศตะวันออกกลาง เป็นพืชอายุปีเดียว มีระบบรากฝอย ลำต้นกลมและกลวง มีสีม่วง ขาว หรือเขียวอ่อน ข้าวสาลีออกดอกเป็นช่อที่ปลายยอด และเป็นพืชเมล็ดเดี่ยวเปลือกแข็ง จมูกข้าว คือ ส่วนที่อยู่ตรงปลายเมล็ดข้าว ซึ่ง “จมูกข้าวสาลี” นั้นมีหน้าที่รวบรวมสารอาหารที่สำคัญของต้นข้าวสาลี ดังนั้นจมูกข้าวสาลีจึงมีสารอาหารที่ถูกเก็บไว้อย่างครบถ้วนเลยทีเดียวค่ะ
ภายในเมล็ดข้าวสาลีจะมีส่วนประกอบ
- มีแป้งอยู่ประมาณ 70%
- มีแร่ธาตุมากมาย ซึ่งองค์ประกอบ 30% ของต้นข้าวสาลีประกอบไปด้วยธาตุอาหารมากกว่า 100 ชนิด รวมทั้งแร่ธาตุหลักๆ ที่จำเป็นต่อร่างกาย รวมถึงแร่ธาตุรองที่ร่างกายต้องการในปริมาณเล็กน้อย
- มีวิตามินในกลุ่มบีคอมเพล็กซ์ครบถ้วน นอกจากนี้ยังเป็นหนึ่งในเรื่องของแหล่งวิตามินเอ ที่สูงที่สุดในบรรดาอาหารต่างๆ รวมทั้งมีวิตามินซี อี และเค เป็นจำนวนมาก
- น้ำต้นข้าวสาลีมีโปรตีนอยู่ 25 % ซึ่งเป็นเปอร์เซ็นต์ที่สูงมากกว่าเมื่อเทียบกับเนื้อปลา ไข่ ผลิตภัณฑ์นม หรือถั่วต่างๆ
- ยังมีสารต้าน เชื้อรา สารต้านพิษจากเชื้อราที่เรียกว่า laetrile อีกด้วย
คุณประโยชน์
ข้าวสาลี เป็นธัญพืชอย่างดีที่มีการบริโภคกันอย่างแพร่หลายทั่วโลก ซึ่งอุดมไปด้วย เกลือแร่ และวิตามินต่างๆมากมาย มีสรรพคุณบำรุงความงาม ช่วยฟื้นฟูสุขภาพเส้นผม ผิวพรรณ อีกทั้งยังให้พลังงานและความสดชื่นกับร่างกาย สำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวานและโรคกระเพาะ รวมถึงผู้ป่วยระหว่างพักฟื้น ในทางยาใช้เมล็ดแก่ในขนาด 15-30 กรัม หรือประมาณ 1 ช้อนโต๊ะ ต้มกินน้ำเป็นยาบำรุงหัวใจ ช่วยให้นอนหลับและลดระดับน้ำตาลในเลือด ลดความดันโลหิตสูงค่ะ
มหาวิทยาลัยแห่งรัฐโอคลาโฮมา (Oklahoma State University) ประเทศสหรัฐอเมริกา ให้ข้อมูลที่น่าสนใจว่า จมูกข้าวสาลี เป็นแหล่งสารอาหารสำคัญ มีโปรตีนสูงกว่าแป้งสาลี 3 เท่า เกลือแร่สูงกว่า 6 เท่า นอกจากนี้ยังอุดมไปด้วยกรดแอมิโนจำเป็น (Essential Amino Acid) ที่ร่างกายไม่สามารถสร้างเองได้ เป็นแหล่งของกรดไขมันไม่อิ่มตัวหลายตำแหน่ง (Polyunsaturated Fatty Acid) ทั้งมีกรดโฟลิก และวิตามินอีสูง
จมูกข้าวสาลี 3 ช้อนโต๊ะมีปริมาณกรดโฟลิกสูงถึง 20 เปอร์เซ็นต์ของความต้องการใน 1 วัน วารสาร Food Research International จึงยกให้จมูกข้าวสาลี เป็นแหล่งอาหารสำคัญสำหรับหญิงตั้งครรภ์ เพื่อป้องกันโรคโลหิตจางในแม่ และความพิการทางระบบประสาทในทารก (Neural Tube Defects)
ความลับของธรรมชาติถูกเปิดเผยอีกครั้ง เมื่อมหาวิทยาลัยพอนดิเชอร์รี (Pondicherry University) ประเทศอินเดีย พบว่า จมูกข้าวสาลีช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยเบาหวานได้ ทำการศึกษาโดยให้ผู้ป่วยเบาหวานหญิงและชายกินจมูกข้าวสาลีวันละ 30 กรัม นาน 6 เดือน ผลการศึกษาพบว่า ผู้ป่วยทุกคนมีระดับน้ำตาลในเลือดลดลงอย่างชัดเจน โดยระดับน้ำตาลก่อนอาหาร (Fasting Glucose) ลดลงเฉลี่ย 22 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร และระดับน้ำตาลหลังอาหาร (Postprandial Glucose) ลดลงเฉลี่ย 41 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร
ไม่เพียงเท่านี้ วารสาร Life Sciences ยังรายงานว่า จมูกข้าวสาลีช่วยป้องกันโรคหัวใจ โรคมะเร็ง ช่วยลดความเสี่ยงการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจช่วยลดความอ้วน และชะลอวัยอีกด้วย
3 ขั้นตอนคงคุณค่าให้จมูกข้าวสาลี
หากซื้อและเก็บไม่ถูกวิธี กรดไขมันไม่อิ่มตัวในจมูกข้าวสาลีอาจทำปฏิกิริยากับออกซิเจนในอากาศ ทำให้มีกลิ่นหืนและคุณค่าทางโภชนาการลดลง ฉะนั้นเพื่อให้แน่ใจว่าจะได้กินจมูกข้าวสาลีคุณภาพดี ควรปฏิบัติดังนี้ค่ะ
1. ซื้อจมูกข้าวสาลีปริมาณน้อย หลังเปิดถุงควรกินให้หมดภายใน 1 เดือน หรือก่อนวันหมดอายุ ที่ระบุบนบรรจุภัณฑ์
2. เก็บจมูกข้าวสาลีในภาชนะปิดสนิท เช่น ขวดแก้ว ถุงพลาสติกสำหรับใส่อาหาร เพื่อป้องกันอากาศ และความชื้นจากภายนอก
3. หากใช้ไม่หมดภายใน 2 – 3 วัน ควรเก็บไว้ในตู้เย็น เพื่อป้องกันกลิ่นเหม็นหืน
Tip ช่วยยืดอายุจมูกข้าวสาลี
นำจมูกข้าวสาลีวางลงบนแผ่นรองอบ (Baking Sheet) หรือใส่ลงในถาดอบที่รองด้วยกระดาษไข นำไปอบด้วยอุณหภูมิ 120 องศาเซลเซียส นาน 10 – 15 นาที หรืออบจนกว่าจมูกข้าวสาลีจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลทองและเริ่มมีกลิ่นหอม นำออกจากเตาอบ รอให้เย็นจึงเก็บในภาชนะที่ปิดสนิท อย่างไรก็ตามความร้อนจากการอบอาจทำให้วิตามินและแร่ธาตุในจมูกข้าวสาลีลดลงได้ ดังนั้นจึงควรทำเป็นทางเลือกสุดท้ายค่ะ
อย่าลืมหามารับประทาน เพื่อสุขภาพที่ดีกันนะคะ