ทำตาสองชั้น แบบไหนดี ??
การทำศัลยกรรม ตาสองชั้น เป็นที่นิยมมาก ทั้งกลุ่มคนอายุน้อย และในกลุ่มคนอายุมาก การทำตาสองชั้น ไม่ได้เพียงแต่ช่วยสร้างชั้นตาให้ดูสวยธรรมชาติ แต่ยังช่วยแก้ปัญหาข้อบ่กพร่อง สำหรับผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับตาอีกด้วย การเลือกเทคนิคที่เหมาะสมกับดวงตาจึงมีความสำคัญอย่างมาก ว่าเราเหมาะกับเทคนิคแบบไหน ควรเลือกวิธีไหนดี เพราะแต่ละคนก็มีลักษณะที่แตกต่างกันออกไป มาดูไปพร้อมกันเลยค่ะ ว่าแต่ละคน เหมาะที่จะทำตาสองชั้น เทคนิคแบบไหนกันบ้าง
- แบบกรีดตาสั้น
การทำตาสองชั้นด้วยเทคนิคกรีดสั้น เป็นการสร้างชั้นตาขึ้นมาใหม่ เหมาะกับกลุ่มคนที่อายุไม่มากนัก ผู้ที่มีชั้นตาไม่หนามาก หรือเป็นคนที่ไม่มีไขมันเปลือกตามากจนเกินไป เทคนิคนี้จะไม่เหมาะกับคนที่มีไขมันสะสมอยู่ที่ชั้นตาปริมาณมาก เพราะชั้นตาอาจหย่อนลงมาได้เร็วกว่าปกติ
- ข้อดีของการใช้เทคนิคกรีดสั้น
เมื่อแผลหายสนิทจะไม่เห็นรอยแผลจากการผ่าตัด ดูแลง่ายและบวมช้ำน้อย ใช้เวลาพักฟื้นน้อย แต่วิธีดังกล่าวจะไม่เหมาะกับผู้ที่มีหนังตาเยอะ หลังการผ่าตัด รอยแผลมีขนาดเล็กเพียง 1.5-2 เซนติเมตร
- ข้อเสียของการใช้เทคนิคกรีดสั้น
ไม่เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาหนังตาตกเยอะ และไขมันเยอะ
- แบบกรีดตายาว
การทำตาสองชั้นด้วยเทคนิคกรีดยาว จะเหมาะสมกับกลุ่มคนที่เริ่มมีอายุ มีปัญหาหนังตาตก ชั้นตามีไขมันสะสมเยอะ โดยเทคนิคนี้ จะกรีดบริเวณหนังตาด้านนอก เริ่มจากหัวตาถึงหางตา เพื่อเปิดหนังตาและนำไขมันส่วนเกินออก
- ข้อดีของการใช้เทคนิคกรีดยาว
ทำให้ชั้นตาสวยชัดเจนในระยะยาว นอกจากนั้นเทคนิคนี้ยังช่วยยกหางตา แก้ปัญหาหางตาตกได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย
- ข้อเสียของการใช้เทคนิคกรีดยาว
แผลหลังการผ่าตัด จะเห็นชัดเจน เนื่องจากรอยแผลค่อนข้างยาว
หลังการผ่าตัด มีอาการบวมช้ำมากกว่าการกรีดสั้น
- แบบเย็บกระชับ 3 จุด
เป็นการทำตาสองชั้นโดยไม่ต้องกรีด ใช้เทคนิคเย็บ 3 จุด เย็บจากด้านในของหนังตาบน ทำให้ไม่มีแผลกรีดยาวให้เห็นภายนอกของหนังตา ชั้นตาดูเป็นธรรมชาติ เวลาหลับตาจะเนียนไม่เห็นแผล
- ข้อดีของการใช้เทคนิคเย็บกระชับ 3 จุด
จะไม่ทำให้เกิดรอยแผลเป็นภายนอก มีอาการบวมช้ำน้อยมาก และไม่ต้องตัดไหม เพราะไม่มีแผลเย็บภายนอก
- ข้อเสียของการใช้เทคนิคเย็บกระชับ 3 จุด
แม้จะไม่มีแผลเป็น แต่ก็มีโอกาสเกิดเป็นรอยแผลเป็นได้
ไม่สามารถแก้ปัญหาหนังตาตก หนังตาหย่อนคล้อยได้
เอาไขมันออกได้น้อย เมื่อเทียบกับวิธีกรีด