ต้านเบาหวาน ลดน้ำตาลในเลือด ด้วยมะเขือเปราะผักพื้นบ้าน
ต้านเบาหวาน ลดน้ำตาลในเลือด ด้วยมะเขือเปราะผักพื้นบ้าน
ทำความรู้จักมะเขือเปราะกันสักหน่อย
มะเขือเปราะ มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Solanum aculeatissinum jacq. เป็นพืชวงศ์ SOLANACEAE หรือวงศ์มะเขือ เช่นเดียวกันกับมะเขือยาว มะเขือม่วง มะเขือพวง มะเขือเทศ มีต้นกำเนิดจากประเทศอินเดีย โดยมะเขือเปราะในภาษาอังกฤษแถบเอเชียจะเรียกว่า green brinjal หรือในอินเดียจะเรียกว่า Kantakari แต่ฝั่งอเมริกาจะคุ้นเคยในชื่อ Eggplant มากกว่า แต่อย่างไรก็ตาม อย่าเผลอเรียกแค่ Eggplant อย่างเดียวเชียวนะคะ เพราะถ้าเรียกแค่นั้น อาจสร้างความสับสนพาลให้คิดว่าเป็นมะเขือม่วงหรือมะเขือยาวได้ เนื่องจากมะเขือหลาย ๆ ชนิด มักเรียกว่า Eggplant เกือบทั้งหมด ดังนั้นหากจะพูดถึงมะเขือเปราะ ก็ให้เติมคำว่า Thai เป็น Thai Eggplant ไปด้วย จะทำให้เข้าใจได้มากกว่าค่ะ
มะเขือเปราะ กับลักษณะทางพฤกษศาสตร์ที่อยากให้รู้จัก
มะเขือเปราะเป็นพืชล้มลุก ทรงพุ่มขนาดเล็ก ลำต้นตั้งตรง สีเขียว ผิวเรียบ ไม่มียาง มีรากเป็นรากแก้ว ทรงกลม สีน้ำตาล แทงลงดิน ส่วนใบเป็นใบเดี่ยว สีเขียว ทรงหัวลูกศร ปลายแหลม โคนโค้งมนคล้ายติ่งหู กว้างประมาณ 4 เซนติเมตร ยาวประมาณ 13 เซนติเมตร มีดอกออกตามซอกใบ สีม่วงบ้าง สีขาวบ้าง โดยกลีบดอกจะเชื่อมติดกัน แต่ปลายดอกจะแยกออกเป็น 5 แฉก รูปกงล้อ ไม่มีกลิ่น
ส่วนผลของมะเขือเปราะจะมีลักษณะกลม ผลเรียบ เนื้อแน่นกรอบฉ่ำน้ำ โดยผลอ่อนจะมีสีเขียวอ่อน หรือบางพันธุ์อาจมีสีขาว สีเหลือง สีม่วง ผลแก่จะมีสีเหลือง เนื้อในผลมีลักษณะเป็นเมือก และมีเมล็ดสีเขียวข้างในกว่า 60 เมล็ด จะนำมาทานสด ๆ หรือนำไปปรุงสุกก็อร่อยเหมือนกัน
มะเขือเปราะ คุณค่าทางโภชนาการไม่น้อย
มะเขือเปราะ 100 กรัม มีคุณค่าทางโภชนาการ ดังนี้
พลังงาน 50 กิโลแคลอรี
น้ำ 87.9 กรัม
ไขมัน 0.8 กรัม
คาร์โบไฮเดรต 8.8 กรัม
โปรตีน 1.8 กรัม
เส้นใย 2.5 กรัม
แคลเซียม 38 มิลลิกรัม
เหล็ก 1.2 มิลลิกรัม
ฟอสฟอรัส 70 มิลลิกรัม
วิตามิน เอ 29 ไมโครกรัม
วิตามินบี 1 ไทอะมีน 0.07 มิลลิกรัม
วิตามินบี 2 ไรโบฟลาวิน 0.16 มิลลิกรัม
วิตามินบี 3 ไนอะซีน 2.4 มิลลิกรัม
วิตามินซี 3 มิลลิกรัม
มะเขือเปราะ สรรพคุณล้นหลาม ตามตำราแพทย์แผนไทย
ผล : ผลมะเขือเปราะช่วยลดไข้ ลดการอักเสบ ลดความดันเลือด ลดระดับน้ำตาลในเลือด ลดการบีบตัวของกล้ามเนื้อเรียบ กระตุ้นการเผาผลาญกระตุ้นการขับถ่าย ช่วยขับพยาธิ รักษาเบาหวาน ต้านมะเร็ง และช่วยบำรุงหัวใจได้
ใบ : นำมาขยำแล้วพอกบริเวณแผล จะช่วยห้ามเลือดและรักษาแผลให้หายไวขึ้น และหากนำใบสดมาเคี้ยวจะช่วยบรรเทาอาการเหงือกอักเสบได้ นอกจากนี้การนำใบมะเขือเปราะมาต้มแล้วดื่มยังช่วยแก้อาการร้อนในและช่วยขับปัสสาวะได้ดี แถมยังนำมาต้มอาบแก้บรรเทาอาการคันตามผิวหนังได้ด้วย
ราก : นำรากมะเขือเปราะมาต้มดื่มช่วยขับปัสสาวะ บรรเทาอาการไอ แก้อาการอักเสบในลำคอ และแก้โรคหอบหืดได้ หรือหากนำมาเคี้ยวยังช่วยบรรเทาอาการเหงือกบวม เหงือกอักเสบ และลดอาการปวดฟันได้อีกด้วย
ประโยชน์ของมะเขือเปราะ ของดีที่ควรมีติดบ้าน
รักษาเบาหวาน ลดน้ำตาลในเลือด
มะเขือเปราะได้ชื่อว่าเป็นผักพื้นบ้านที่ช่วยลดน้ำตาลเลือดมานานแล้ว เพราะมีใยอาหารสูง และเป็นคาร์โบไฮเดรตชนิดที่ละลายน้ำได้ นอกจากนี้ ยังมีงานวิจัยพบว่า มะเขือเปราะออกฤทธิ์คล้ายอินซูลิน โดยช่วยเสริมการใช้งานกลูโคสอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น มะเขือเปราะจึงเป็นอาหารที่เหมาะกับคนป่วยเบาหวานหรือคนที่ต้องการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
สอดคล้องกับงานวิจัยในแคว้นโอริสสา ประเทศอินเดีย ที่ได้ทำการทดลองใช้สารสกัดน้ำของผลมะเขือเปราะเพื่อลดระดับน้ำตาลในเลือดของหนูที่เป็นเบาหวาน โดยพบว่า สารสกัดดังกล่าวมีฤทธิ์ลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ดีเทียบเท่ากับการใช้ยาไกลเบนคลาไมด์ (glibenclamide) ที่ใช้สำหรับรักษาโรคเบาหวาน ชนิดที่ 2 เลยค่ะ ดังนั้นคนอินเดียจึงมักนำน้ำต้มผลมะเขือเปราะมาดื่มเพื่อรักษาโรคเบาหวาน
ลดไข้ แก้ไอ
มะเขือเปราะมีฤทธิ์ที่ช่วยลดไข้ ลดอาการอักเสบ แก้พิษร้อนในร่างกาย แถมช่วยขับลมชื้นที่เกิดขึ้นบ่อย ๆ ในช่วงหน้าฝนได้ ดังนั้นหากไม่สบาย เราขอแนะนำให้ทานมะเขือเปราะ จะได้ช่วยให้หายไวขึ้น หรือถ้าใครมีอาการไอด้วย ทางการแพทย์อายุรเวทของอินเดียก็จะนำมะเขือเปราะมาปรุงเป็นยาแก้ไอ โดยนำผลมะเขือเปราะไปตากแห้งแล้วบดเป็นผง นำไปผสมกับน้ำผึ้งจิบดื่มเวลาไอค่ะ
ตัวช่วยลดน้ำหนัก
มะเขือเกือบทุกชนิด รวมถึงมะเขือเปราะถือเป็นอาหารที่ดีต่อคนที่กำลังลดน้ำหนัก เพราะเป็นผักที่มีปริมาณแคลอรีไม่มาก แถมยังมีไฟเบอร์ที่ช่วยให้เราอิ่มนาน รู้สึกอยากอาหารน้อยลง จึงเป็นตัวช่วยลดน้ำหนักได้ทางอ้อมค่ะ
ลดคอเลสเตอรอลก็ได้
มีการวิจัยพบว่ามะเขือเปราะสามารถลดระดับคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดีในร่างกายลงได้ นอกจากนี้สารนาโซลินก็ยังทำงานร่วมกันกับไฟโตนิวเทรียนท์ช่วยไม่ให้มีไขมันเกาะตามผนังของเส้นเลือด ทำให้เลือดไหลเวียนในร่างกายได้สะดวกขึ้น
เสริมการทำงานของระบบย่อยอาหาร ป้องกันท้องผูก
ผลของมะเขือเปราะจะช่วยให้ระบบย่อยอาหารของเราดีขึ้น ห่างไกลจากอาการท้องผูกได้ เพราะมะเขือเปราะมีไฟเบอร์อยู่เป็นจำนวนมาก จึงช่วยกระตุ้นให้ท้องและลำไส้บีบตัว ดูดซึมสารอาหารและขับถ่ายออกไปได้ดี นอกจากนี้ยังมะเขือเปราะยังเป็นอัลคาไลน์ธรรมชาติที่ช่วยรักษาอาการกรดไหลย้อน ช่วยลดกรดในกระเพาะอาหารของเราได้ ช่วยขับพยาธิด้วยนะคะ
บำรุงกระดูกให้แข็งแรง
มะเขือเปราะมีสารอาหารจำพวกแคลเซียม โพแทสเซียม และธาตุเหล็กอยู่ค่อนข้างสูง ซึ่งสารอาหารเหล่านี้ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงให้กระดูกได้เป็นอย่างดี การทานมะเขือเปราะเป็นประจำจึงช่วยลดความเสี่ยงกระดูกพรุน และกระดูกเสื่อมลงได้
ป้องกันความจำเสื่อม
ในมะเขือเปราะมีไฟโตนิวเทรียนท์ ซึ่งเป็นสารที่ช่วยป้องกันไม่ให้เยื่อหุ้มเซลล์ถูกทำลาย และช่วยให้การส่งผ่านข้อมูลระหว่างเซลล์ต่าง ๆ ไหลลื่นขึ้น จึงช่วยป้องกันโรคความจำเสื่อมได้ แต่สารไฟโตนิวเทรียนท์ที่ว่านี้ จะมีอยู่แค่ในเปลือกของมะเขือเปราะเท่านั้น ดังนั้นเวลาทานมะเขือเปราะ อย่าปอกเปลือกออกนะคะ !
บำรุงผิว
สาว ๆ คนไหนที่อยากถนอมผิวให้ดูอ่อนเยาว์อยู่ตลอด ต้องทานมะเขือเปราะบ่อย ๆ แล้วค่ะ เพราะในมะเขือเปราะมีสารแอนโทไซยานิน ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ที่ช่วยชะลอการเสื่อมสภาพของผิว แถมยังอุดมไปด้วยน้ำและวิตามินดี ๆ เช่น วิตามินอี ที่ทำให้ผิวของสาว ๆ กระจ่างใส นุ่ม และชุ่มชื่น
บำรุงผม
มะเขือเปราะก็เป็นอาหารอีกหนึ่งชนิดที่ช่วยบำรุงเส้นผมให้เงางามได้ค่ะ เพราะในมะเขือเปราะมีน้ำเป็นส่วนประกอบอยู่ค่อนข้างมาก จึงช่วยบำรุงเส้นผมไม่ให้แห้งกระด้าง หรือหากต้องการบำรุงรากผมให้แข็งแรง ผมไม่หลุดร่วงง่าย ๆ ก็ลองนำมะเขือเปราะมาหั่นเป็นซีก ๆ แล้วถูบริเวณหนังศีรษะ ทิ้งไว้ 10-15 นาที ล้างออกด้วยแชมพูแบบอ่อน ๆ น้ำจากมะเขือเปราะที่ซึมเข้าไปก็จะช่วยให้รากผมแข็งแรงขึ้น อีกทั้งยังมีเอนไซม์ที่ช่วยกระตุ้นเซลล์บนหนังศีรษะ ทำให้ผมงอกและยาวเร็วขึ้นได้ด้วยนะ
ส่วนใครที่อยากลดอาการคันศีรษะหรือขจัดรังแค ก็มีสูตรจากมะเขือเปราะมาช่วยได้ด้วยเหมือนกัน โดยนำมะเขือเปราะ 1 ลูก แตงกวาและอะโวคาโดอย่างละครึ่งลูก มาผสมกับครีมเปรี้ยวประมาณ 1/3 แล้วนำไปพอกหนังศีรษะครึ่งชั่วโมง แล้วค่อยล้างออกด้วยยาสระผมและน้ำอุ่น ก็จะช่วยให้บำรุงให้หนังศีรษะของเรามีสุขภาพดี ไร้อาการคันหรือรังแคมากวนใจเลยละค่ะ
ควบคุมความดันโลหิต
ทุกวันนี้ ใคร ๆ ก็มีโอกาสเสี่ยงเป็นโรคความดันโลหิตสูงได้ง่ายจากไลฟ์สไตล์ที่ขาดการออกกำลังกาย และชอบทานอาหารเค็ม แต่ถ้าเปลี่ยนจากการทานอาหารเค็ม ๆ มาทานมะเขือเปราะ ไบโอฟลาโวนอยด์ที่มีอยู่ในมะเขือเปราะก็จะไปลดระดับความดันโลหิต พร้อมกับควบคุมความดันโลหิตให้เป็นปกติได้ค่ะ
ป้องกันโลหิตจาง
โรคโลหิตจางหรือโรคซีด จะทำให้มีอาการมึนงง ปวดหัว อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย และใจสั่น ซึ่งสาเหตุที่พบได้บ่อยมาจากการขาดธาตุเหล็ก อันเป็นองค์ประกอบสำคัญต่อการสร้างเม็ดเลือดแดง จึงทำให้การผลิตเม็ดเลือดแดงรวมทั้งปริมาณฮีโมโกลบินน้อยลง ดังนั้นการจะป้องกันโรคโลหิตจางได้ ก็ต้องทานอาหารที่มีธาตุเหล็กและอาหารที่ช่วยสร้างเม็ดเลือดแดงในปริมาณมาก ๆ ซึ่งมะเขือเปราะเป็นสารอาหารที่มีธาตุเหล็กอยู่พอสมควรค่ะ อีกทั้งยังมีทองแดงที่สามารถกระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดแดงอยู่สูง โดยสารอาหารทั้งสองชนิดจะทำงานร่วมกันช่วยให้เม็ดเลือดแดงกระจายตัวได้อย่างเต็มที่ และช่วยกระตุ้นการสร้างฮีโมโกลบินด้วย
บำรุงหัวใจ
งานวิจัยนานาชาติระหว่างปี พ.ศ. 2510-2538 พบว่า ผลมะเขือเปราะช่วยลดระดับคอลเลสเตอรอลชนิดไม่ดี และช่วยควบคุมความดันเลือดให้คงที่ ซึ่งทั้งสองถือเป็นปัจจัยที่ช่วยลดความเสี่ยงโรคหัวใจลงได้ทำให้การทานมะเขือเปราะช่วยบำรุงและลดความเสี่ยงโรคหัวใจลงได้นั่นเองค่ะ
บำรุงตับ
การทานมะเขือเปราะจะช่วยให้ตับของเราทำงานได้ดีขึ้น เพราะมะเขือเปราะจะไปเพิ่มการผลิตน้ำดีในตับให้ออกมาย่อยไขมันได้มากขึ้น เป็นการป้องกันภาวะตับวายได้อีกทาง นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยที่ประเทศอินเดียใช้สารสกัดน้ำจากผลมะเขือเปราะกับหนูทดลอง แล้วพบว่า สารนั้นมีผลเชิงบวกต่อการทำงานของตับอ่อน โดยที่ไม่มีพิษต่อสัตว์ทดลองเลยด้วย
ลดความเสี่ยงมะเร็ง
มีงานวิจัยพบว่าในมะเขือเปราะมีสารไกลโคอัลคาลอยด์โซลามาร์จีน โซลาโซนีน และอัลคาลอยด์โซลาโซดีนที่ปราศจากโมเลกุลน้ำตาล ซึ่งการทดสอบฤทธิ์ต้านเซลล์มะเร็งของสารเหล่านี้พบว่า สารทุกตัวมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ยับยั้งการก่อของเซลล์มะเร็งตับและลำไส้ใหญ่ อีกทั้งในมะเขือเปราะยังมีกรดโคโรจินิกที่ช่วยต้านอนุมูลอิสระ แถมยังอุดมไปด้วยสารฟีนอลและวิตามินซี ที่ช่วยให้ภูมิต้านทานแข็งแรง กระตุ้นการผลิตเม็ดเลือดขาวให้มากำจัดสิ่งแปลกปลอมที่เข้าสู่ร่างกาย ทั้งหมดทั้งมวลนี้จึงบอกได้ว่า มะเขือเปราะมีส่วนช่วยลดความเสี่ยงการเกิดโรคมะเร็งได้พอสมควรเลย
โทษของมะเขือเปราะ ทานเยอะไป ก็อันตรายได้นะ
แม้มะเขือเปราะจะมีประโยชน์อยู่เพียบ แต่หากทานในปริมาณมากหรือทานติดต่อกันเป็นเวลานาน ก็อาจทำให้มีอาการปวดขาได้เหมือนกัน เพราะในมะเขือเปราะมีสารโซลานิน (SOLANINE) ซึ่งเป็นสารที่ถ้าร่างกายเราสะสมไว้หลาย ๆ วัน จะไปรวมตัวกับไขมันชนิดไม่ดี (LDL) แล้วเกาะอยู่ตามข้อต่อ ทำให้เราปวดขา ปวดข้อ หรือเป็นตะคริวได้ค่ะ
ทั้งนี้สารนี้มักพบในผักดิบหลายชนิด เช่น มะเขือชนิดต่าง ๆ บวบ แตงกวา มันฝรั่ง พริกหวาน แต่ก็ไม่ต้องกังวลมากเกินไป เพราะอาการแบบนี้มักจะเกิดขึ้นแต่กับคนที่แพ้สารนี้เท่านั้นค่ะ หรือหากใครป่วยโรครูมาตอยด์ ก็ควรทานพืชกลุ่มนี้แต่น้อยดูก่อน แล้วลองสังเกตตัวเองดูว่า ทานแล้วมีอาการปวดมากขึ้นหรือไม่ เพื่อจะได้ระวังและหลีกเลี่ยง เช่น เปลี่ยนไปทานแบบสุกแทนค่ะ
ขอขอบคุณข้อมูลจากบทความจาก
, , สำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ, พืชเกษตร, ศูนย์ข้อมูลเครือข่ายอาหารครบวงจร. https://health.kapook.com/view179253.html