ประโยชน์ขององุ่น 3 สี
องุ่น เป็นผลไม้ที่หาซื้อได้ง่ายตามท้องตลาด และยังมีรสชาติหวานอมเปรี้ยว เป็นที่ถูกใจสำหรับคนทุกเพศทุกวัย นอกจากจะมีรสชาติดี แล้วยังหาซื้อง่ายอีกด้วยซึ่งในผลองุ่นจะมีวิตามินและสารอาหารที่มีประโยชน์มากมาย โดยเฉพาะที่เปลือกและเมล็ด อย่างที่เราเคยได้ยินถึงการสกัดน้ำมันจากเมล็ดองุ่นมาเป็นส่วนผสมในครีมบำรุงผิวหรือผลิตภัณฑ์เสริมอาหารต่างๆ น้ำมันนี้ช่วยให้ผนังหลอดเลือดแข็งแรง ลดความเสี่ยงต่อการจับตัวของก้อนเลือด และลดโคเลสเตอรอลชนิดแอลดีแอล (ไขมันไม่ดี) จึงช่วยป้องกันโรคเกี่ยวกับระบบเลือดและหัวใจได้ดี นอกจากนี้ยังมีคุณสมบัติช่วยลดริ้วรอยและทำให้ผิวหนังมีความยืดหยุ่นมากขึ้นด้วย
ส่วนวิตามินต่างๆ ที่พบในองุ่นนั้นก็มีมากมายหลายชนิด ได้แก่ วิตามินเอ วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 และเกลือแร่ชนิดต่างๆ ซึ่งมีส่วนช่วยในการกระตุ้นให้ร่างกายสดชื่นได้เร็ว อาจเป็นเพราะน้ำตาลในองุ่นเป็นน้ำตาลที่ร่างกายสามารถดูดซึมไปใช้ได้เลย จึงช่วยเร่งการเผาผลาญในร่างกาย และกระตุ้นให้ตับทำหน้าที่ฟอกเลือดได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย ซึ่งองุ่นจะมีให้เลือกถึง 3 สีหลักๆ และมีประโยชน์โดดเด่นแตกต่างกันไปดังนี้ค่ะ
องุ่นเขียว: องุ่นเขียวอุดมไปด้วยสารพฤกษเคมีซึ่งมีคุณสมบัติเป็นสารแอนตี้ออกซิแดนท์ เช่น คาเตชิน (Catechin) และเทอร์ซอทิลบีน (Ptersotilbene) องุ่นเขียวจึงช่วยป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ มะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งเต้านม โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคของระบบประสาท โรคอัลไซเมอร์ และลูคีเมีย ตลอดจนป้องกันการติดเชื้อราและเชื้อไวรัสต่างๆ ด้วย
องุ่นแดง: องุ่นแดงนั้นจัดเป็นราชินีแห่งผลไม้ทุกชนิด และมีสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพอีกมากมาย เพราะสีแดงเข้มของผลองุ่นประกอบด้วย สารฟลาวโวนอยด์ ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ และมีสารอาหารสำคัญ คือ เรสเวอราทรอล (Resveratrol) ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยป้องกันโรคหัวใจ โรคมะเร็ง และช่วยชะลอวัย นอกจากนี้ยังมีสารซาโปนิน (Saponin) ซึ่งมีคุณสมบัติเป็นสารต้านแบคทีเรีย ไวรัส ป้องกันเนื้องอก ลดการดูดซึมของคอเลสเตอรอลในกระแสเลือด ซึ่งส่งผลต่อการป้องกันโรคหัวใจอีกด้วย
องุ่นดำ: แนะนำว่า ถ้าต้องการลดน้ำหนัก ให้กินองุ่นดำวันละ 1 ครั้ง อาจกินเป็นของกินเล่น หรือใส่ในสลัดก็ได้ เพราะจากการศึกษาพบว่าองุ่นดำอุดมด้วยไฟเบอร์ ทำให้รู้สึกอิ่ม และให้แคลอรี่ต่ำ ทำให้การทำงานของลำไส้เป็นไปตามปกติ สารแอนตี้ออกซิแดนท์ในองุ่นดำยังช่วยในการขับท็อกซินออกจากร่างกาย ซึ่งช่วยในกระบวนการลดน้ำหนักให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นอีกด้วย
ขอขอบคุณบทความจาก : www.todayhealth.org/daily-health