ปรับพฤติกรรมดูแลตับให้แข็งแรง…เริ่มต้นง่ายๆตั้งแต่วันนี้
พฤติกรรมทำลายตับ
- นอนดึกเกินไปและนอนตื่นสายเกินไป
- ไม่ปัสสาวะตอนเช้า
- ทานอาหารปริมาณมากเกินไปในแต่ละมื้อ
- ชอบอดอาหารเช้า
- ทานอาหารที่มีสารกันบูด สารแต่งกลิ่น สี รส มากเกินไป
- ชอบทานอาหารดิบๆ แต่ไม่ทานผักดิบ
- ทานอาหารไขมันทรานส์เสมอ
- ทานวิตามินเสริมมากเกินไป รับยาเกินขนาด
- ดื่มแอลกอฮอล์ สูบบุหรี่ประจำ
นอกจากนี้การได้รับสารพิษจากยาฆ่าแมลง วัสดุก่อสร้ง ส่วนประกอบจากเครื่องสำอางที่ไร้คุณภาพ ก็สามารถทำลายเซลล์ตับได้ โดยเมื่อตับทำงานได้ไม่เต็มที่ ก็จะทำให้ร่างกายมีอาการปวดศีรษะ ฟกช้ำง่าย วิกตกกังวล ซึมเศร้า สับสน อ่อนเพลีย มีปัญหาผิวพรรณ น้ำหนักขึ้น ความรู้สึกทางเพศลดลง การทำงานของสมองแย่ลง หากตับถูกทำลายมากขึ้น ความสามารถในการกำจัดสารพิษออกจากร่างกายก็จะลดลง อาจเกิดการสะสมสารพิษในเลือดและสมองในที่สุด
มาปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต เพื่อฟื้นฟูตับกันค่ะ
เลี่ยงอาหารที่สงสัยว่าร่างกายไม่ยอมรับ
หลีกเลี่ยงอาหารที่อาจผลิตสารพิษในลำไส้และรบกวนการทำงานของระบบขจัดพิษ เชื้อแบคทีเรีย และไวรัสได้ เช่น เครื่องดื่มแอลกอฮอลล์ กาแฟ และเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนมากเกินไป บุหรี่ และยา ล้วนแต่มีผลต่อตับ
อาหารฟื้นฟูตับ
ควรเคี้ยวอาหารให้ละเอียด เพื่อช่วยให้เอนไซม์ย่อยอาหารได้ง่ายขึ้น ได้แก่
- กระเทียมและหอม มีสารอัลลิซิน ซึ่งมีกำมะถันเป็นองค์ประกอบ ตับต้องการสารชนิดนี้ในการขจัดพิษ ส่วนกระเทียมช่วยตับขจัดสารปรอท วัตถุเจือปนอาหาร และฮอร์โมนเอสโทรเจน
- ผักที่เป็นดอกๆ ดอกกะหล่ำ กะหล่ำปลี บรอกโคลี มีสารช่วยลดฤทธิ์ของสารพิษ
- ดื่มน้ำมะนาวผสมน้ำอุ่น ในตอนเช้าหลังตื่นนอนจะช่วยฟอกตับ และทำให้ตับทำงานดีขึ้น ช่วยกระตุ้นการผลิตน้ำดีฟอกกระเพาะและลำไส้ และกระตุ้นการบีบตัวของลำไส้
- บีตรู้ต ช่วยฟอกเลือดและดูดซับโลหะหนัก
- ผักผลไม้ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง พรุน ลูกเกด ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ ส้ม เกรปฟรุต แคนตาลูป ช่วยลดสารพิษประเภทไนโทรซามีนและแอฟลาท็อกซินในถั่ว และยังมีสารกลูโคซิเนเลตส์ ช่วยตับสร้างเอนไซม์ที่จำเป็นในการขจัดพิษ
- แอปเปิ้ล มีสารเพกทินที่จับกับโลหะหนักในร่างกาย โดยเฉพาะในลำไส้ และขจัดออกจากร่างกาย ช่วยให้ตับไม่ทำงานหนัก
- อาร์ติโช้ก ช่วยเพิ่มการผลิตน้ำดี ขจัดสารพิษและแบคทีเรียจากลำไส้ และยังช่วยลดคอเลสตอรอล ไตรกลีเซอร์ไรด์
- ผักสลัดเขียวรสขม เช่น ร็อกเก็ต แดนดิไลออน ชิคอรี รสขมของผักเหล่านี้ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของน้ำดีภายในตับ
เลี่ยงอาหารเค็มจัด หวานจัด
อยากทานอาหารอร่อยไม่ยาก ใช้สมุนไพร เครื่องเทศ ขิง ข่า ตะไคร้ ใบมะกรูด กะเพรา โหระพา ขมิ้น พริก มะนาว ปรุงรสแทนน้ำปลา น้ำตาลและผงชูรส
ลดและเลี่ยงแอลกอฮอล์
ดื่มน้ำเปล่าอย่างน้อยวันละ 2.5 ลิตร และควรเลี่ยงแอลกอฮอล์ซึ่งจะทำลายเนื้อเยื้อตับ หากเลี่ยงไม่ได้ ผู้เชี่ยวชาญแนะว่า ไม่ควรดื่มเกินวันละ 2 แก้วสำหรับผู้ชาย และไม่เกินวันละ 1 แก้ว สำหรับผู้หญิง
โดยตับเป็นเนื้อเยื่อที่งอกได้ ¾ เมื่อถูกตัดออก และสามารถงอกเป็นปกติได้ภายใน 2 – 3 สัปดาห์ แต่คนที่ดื่มหนักเกินไป แอลกอฮอลล์จะทำลายเซลล์อย่างถาวร ทำให้เกิดแผลเป็น คือตับแข็งนั่นเอง
ที่สำคัญคือ ควรเลี่ยงการทานยากับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ รวมทั้งยาสมุนไพร เพราะสารเคมีที่มีส่วนประกอบของยาอาจเป็นอันตรายต่อเซลล์ตับได้ โดยเฉพาะเมื่อมีแอลกอฮอล์เข้าไปเป็นส่วนประกอบ
เลี่ยงมลพิษจากสิ่งแวดล้อม ควัน เสปรย์พ่นสี
สารพิษเหล่านี้จะผ่านเข้าสู่เส้นเลือดฝอยในปอด และผ่านไปถึงตับได้ โดยร่างกายจะขับพิษและขจัดออกทางน้ำดี ดังนั้น สภาพแวดล้อมที่อยู่ควรมีระบบถ่ายเทอากาศที่ดี ใช้ผ้าปิดจมูกและปาก สวมเสื้อผ้าแขนยาวขายาวเพื่อปกปิดผิวหนัง ล้างสารเคมีที่ติดอยู่บนผิวหนังด้วยสบู่และน้ำ
เลี่ยงการใช้ยาปฏิชีวนะ
เพราะยาปฏิชีวนะจะทำลายจุลินทรีย์ที่ดีซึ่งช่วยขจัดสารพิษในลำไส้ ยาลดกรดจะลดสภาวะกรดในธรรมชาติ ซึ่งจำเป็นต่อการย่อยอาหาร
ออกกำลังกายเบาๆ
การออกกำลังกายจะช่วยให้ระบบน้ำเหลืองทำงานดีขึ้น ทำให้เหงื่อออก และผลิตปัสสาวะ ช่วยการทำงานของตับ และกระตุ้นลำไส้ให้ขจัดของเสีย ทั้งนี้ช่วยการขจัดพิษออกจากร่างกาย ฝึกการหายใจลึกๆ ออกซิเจนจะเข้าไปในเลือดและขจัดของเสียจากเลือด โดยเฉพาะก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และช่วยเร่งการทำงานของระบบไหลเวียนของเลือด
หัวเราะคลายเครียด
เป็นวิธีที่ช่วยส่งเสริมระบบภูมิคุ้มกันให้ทำงานดีขึ้น การหัวเราะช่วยเพิ่มแอนติบอดี ซึ่งเป็นด่านแรกในการต่อต้านการติดเชื้อของร่างกาย