fbpx skip to Main Content
ลดรอยใต้ตา

ลดปัญหาถุงใต้ตา บำรุงผิวดวงตาให้สดใส

ลดปัญหาถุงใต้ตา บำรุงผิวดวงตาให้สดใส

 รอยคล้ำใต้ดวงตา คืออะไร?

รอยดำคล้ำใต้ตา (Dark circles) เป็นภาวะที่พบได้บ่อยกับคนทุกเพศทุกวัย และมักจะเป็นมากขึ้นเมื่ออายุมากขึ้น ถึงแม้ว่ารอยดำใต้ตาจะไม่ใช่โรคที่จำเป็นต้องรักษา หรือเป็นปัญหาสำคัญต่อสุขภาพ แต่ก็ทำให้เกิดปัญหาด้านความงามได้ เพราะการมีรอยคล้ำใต้ตาอาจทำให้ผู้ที่เป็นดูเศร้าหมอง เหนื่อย หน้าตาดูไม่สดใส และดูมีอายุมากขึ้นกว่าความเป็นจริง

ปัญหาขอบตาดำคล้ำเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น การอดนอน พักผ่อนน้อย ถูกกระทบกระแทกมา หรือมีโรคร้ายซ่อนอยู่ ปัญหาขอบตาคล้ำ หรือรอยดำคล้ำใต้ตา ที่เป็นผลมาจากหลอดเลือดดำบริเวณตาขยายใหญ่หรือทำให้เม็ดสีเมลานินมากขึ้นจึงทำให้ใต้ตาดำคล้ำ ทำให้ใบหน้าดูหมอง ไม่สดใส ความสวยงามก็ดูลดลง ซึ่งสาเหตุของขอบตาดำคล้ำก็มีอยู่ด้วยกันหลายสาเหตุ บางคนอาจเกิดจากสาเหตุเดียว แต่บางคนก็อาจเกิดจากหลาย ๆ สาเหตุร่วมกัน ได้แก่

สาเหตุขอบตาดำคล้ำ

  1. กรรมพันธุ์ ไม่ว่าจะจากคุณพ่อคุณแม่ ญาติพี่น้อง ถ้ามีญาติขอบตาดำก็แสดงว่าอาจเป็นพันธุกรรมที่ถูกถ่ายทอดมา ซึ่งไม่จำเป็นว่ารุ่นลูกจะขอบตาดำกันทุกคน ยิ่งคนที่มีผิวกายสีขาว ก็จะยิ่งทำให้เห็นความดำคล้ำได้ชัดกว่าคนผิวเหลือง น้ำตาล หรือดำ ซึ่งสาเหตุนี้การรักษาและป้องกันจะค่อนข้างยากกว่าสาเหตุอื่น ๆ
  2. ขอบตาคล้ำจากภาวะเสียสมดุล เช่น การนอนหลับไม่เพียงพอ อดนอน พักผ่อนน้อย สาเหตุนี้เป็นสาเหตุที่พบได้บ่อยในสภาพสังคมปัจจุบัน เพราะทำให้การไหลเวียนโลหิตไม่ดี สารอาหารในเลือดลดลง เส้นเลือดตีบ ทำให้เกิดรอยคล้ำชัดขึ้น, การอ่อนล้าของระบบประสาทจากความเครียด อารมณ์แปรปรวน, การกินของเย็นในขณะมีประจำเดือน, การกินอาหารจำพวกแป้งและของหวานมากเกินไป จนทำให้เกิดกระบวนการเผาผลาญ มีคาร์บอนไดออกไซด์มาก ทำให้เลือดดำคล้ำ, การมีเพศสัมพันธ์ที่มากจนเกินไป จะทำให้สูญเสียพลังและสารจำเป็น, การเจ็บป่วยเรื้อรังหรือสูญเสียเสียพลังเรื้อรัง, ภาวะความเป็นกรดมากขึ้น ซึ่งมีหลายปัจจัย เช่น อาหาร ยา สารพิษ โรคตับ ฯลฯ, ภาวะสารแคลเซียมในร่างกายน้อย, ภาวะของตับและไตพร่อง (จะมีอาการหน้าขาวซีด กลัวหนาว แขนขาเย็น มีตกขาวใส ปวดเมื่อยเอว มีอาการร้อนตามฝ่ามือฝ่าเท้า มีไข้ต่ำ ๆ ฝันบ่อย นอนไม่หลับ ฯลฯ) เป็นต้น
  3. อายุที่มากขึ้น หนังชั้นกำพร้าจะค่อย ๆ บางลงตามอายุ หลอดเลือดจึงโผล่ออกมาให้เห็นเป็นผิวคล้ำ ๆ หรือทำให้เป็นรอยคล้ำใต้ตาที่เกิดจากผิวหนังใต้ตาหย่อนคล้อย จนทำให้เกิดเป็นเงาดำใต้ตา รอยดำจากสาเหตุนี้มักพบการมีรอยย่นรอบดวงตาโดยรอบ ในรายที่เป็นมาก ๆ อาจมีถุงใต้ตาร่วมด้วยก็ได้ ซึ่งแพทย์มักจะรักษาโดยใช้เครื่องมือต่าง ๆ เช่น เลเซอร์ คลื่นความถี่วิทยุที่มีผลทำให้ผิวหนังใต้ตากระชับขึ้น การฉีดสารเติมเต็มเพื่อให้ริ้วรอยดูตื้นขึ้น หรือในรายเป็นที่มาก ๆ มีถุงใต้ตาขนาดใหญ่ ก็อาจจะต้องรักษาด้วยวิธีการผ่าตัด
  4. ผิวใต้ตาบาง รอยคล้ำที่เกิดจากการมีผิวหนังใต้ตาบางหรือมีชั้นไขมันใต้ผิวหนังบริเวณนั้นบางลงร่วมด้วย ซึ่งมักเกิดจากเส้นเลือดใต้ผิวหนัง รอยคล้ำใต้ตาจากสาเหตุนี้มักจะมีสีออกม่วงและเห็นชัดมากบริเวณด้านหัวตา โดยเฉพาะในช่วงที่มีประจำเดือน ซึ่งจะต้องรักษาด้วยการใช้เลเซอร์กำจัดเส้นเลือด หรือฉีดสารเติมเต็มเพื่อให้ผิวหนังบริเวณนั้นดูหนาขึ้น
  5. การสร้างเม็ดสีบริเวณผิวหนังใต้ตาเพิ่มขึ้น เช่น เป็นภูมิแพ้จนทำให้เส้นเลือดดำที่อยู่รอบตาขยายใหญ่มากกว่าคนทั่ว ๆ ไป ยิ่งคันตาบ่อย อดไม่ได้ต้องขยี้ตาจะยิ่งทำให้ตาคล้ำง่าย การขยี้ตาจะเป็นการกระตุ้นเซลล์ให้เซลล์สร้างเม็ดสีให้เพิ่มจำนวนมากขึ้นด้วย หรือในกรณีที่รอยคล้ำใต้ตาเกิดจากการสร้างเม็ดสีบริเวณผิวหนังใต้ตาเพิ่มขึ้น โดยมักพบในภาวะรอยดำที่เกิดตามหลังจากการอักเสบในผู้ป่วยที่เป็นโรคภูมิแพ้ที่ผิวหนังเรื้อรัง (atopic dermatitis) หรือเกิดการแพ้จากการสัมผัสสารต่าง ๆ (allergic contact dermatitis) ซึ่งรอยคล้ำใต้ตาจากสาเหตุนี้มักมีสีออกเทา ๆ เมื่อเอามือรีดผิวหนังบริเวณนั้น รอยคล้ำก็จะไม่จางลง สามารถรักษาด้วยการใช้ครีมที่มีฤทธิ์ยับยั้งการสร้างเม็ดสีต่าง ๆ หรือใช้เลเซอร์กำจัดเม็ดสีทำให้รอยคล้ำใต้ตาดูจางลง
  6. เกิดจากการระคายเคืองรอบดวงตา เช่น การแพ้สารบางอย่างในครีมทารอบดวงตา แพ้มาสคาร่า เป็นต้น แล้วทำให้เกิดอาการคัน พอคันก็จะถูขยี้ตา ดังนั้นคนที่มีผิวแพ้ง่ายก่อนจะใช้เครื่องสำอางอะไรก็ควรจะทดสอบการแพ้เครื่องสำอางก่อนที่ท้องแขน
  7. อาการตาแห้ง ขาดน้ำตามาหล่อเลี้ยง หลายคนแก้ไขผิดวิธี ด้วยการขยี้ตาเพื่อให้มีน้ำตา จึงทำให้ขอบตาดำคล้ำ ที่ถูกคือคุณควรดื่มน้ำให้มากขึ้นเรื่อย ๆ ตลอดทั้งวัน ส่วนอาการตาแห้ง ควรหยอดน้ำตาเทียมวันละ 4-5 ครั้ง
  8. ปานโอตะ บางคนอาจเป็นส่วนน้อยที่มีปานโอตะอยู่ที่ขอบตา ซึ่งปานโอตะก็คือ เซลล์เม็ดสีที่อยู่ในชั้นหนังแท้ ซึ่งมักจะเป็นรอบตาข้างเดียว แต่บางคนอาจเป็นได้ทั้ง 2 ข้าง จึงทำให้ขอบตาดูเขียวคล้ำ

           ถุงใต้ตาบวมเป่งแถมยังพ่วงมาพร้อมความหมองคล้ำ ไม่สวยสดใส หากดวงตามีปัญหาแบบนี้อยู่ เราคงต้องรีบมองหาวิธีแก้ปัญหาถุงใต้ตาบวมให้หายไปซะแล้วค่ะ เพราะหากปล่อยเอาไว้ไม่ยอมรีบดูแล มันอาจจะทำให้คุณแลดูเหมือนปล่อยตัวให้โทรม ไม่ดูแลตัวเองดีๆ และยังสะท้อนถึงความแก่ได้ง่ายอีกด้วย ว่าแต่จะมีวิธีไหนแก้ปัญหาถุงใต้ตาบวมได้บ้างมาดูกันดีกว่า

1.มันฝรั่ง
การใช้มันฝรั่งมาประคบดวงตาเป็นวิธีที่ได้รับความนิยมในต่างประเทศมากทีเดียว วิธีใช้คือ ให้นำหัวมันฝรั่งมาปอกเปลือกจากนั้นหั่นเป็นชิ้นบางๆ แล้วนำมาประคบบนดวงตาทั้งสองข้าง ปล่อยเอาไว้ประมาณ 30 นาทีแล้วเอาออก ทำเป็นประจำจะช่วยลดปัญหาถุงใต้ตาได้

มันฝรั่ง

มันฝรั่ง


2.แตงกวา
ให้นำแตงกวาที่แช่เย็นๆ มาล้างแล้วหั่นเป็นแว่นบาง จากนั้นนำมาประคบบนดวงตาทั้งสองข้างก่อนนอนประมาณ 30 นาทีจึงเอาออก นอกจากทำก่อนนอนแล้วยังสามารถทำหลังจากตื่นนอนได้อีกด้วย เพราะบางคนนอนดึกบ่อยๆ ผิวรอบดวงตาอาจจะคล้ำง่าย แตงกวามีมอยส์เจอไรเซอร์จากธรรมชาติที่จะช่วยฟื้นบำรุงและแก้ปัญหาแตงกวาบวมได้นั่นเอง

แตงกวา

แตงกวา


3.กากชาใช้แล้ว
ให้นำกากชาใช้แล้วมาห่อด้วยผ้าขาวบางเพื่อทำเป็นลูกประคบ จากนั้นให้นำน้ำอุ่นราดลงไปเล็กน้อยแล้วบีบให้น้ำออกมา เสร็จแล้วก็นำมาประคบบนเปลือกตาทั้งสองข้างปล่อยไว้ประมาณ 30 นาที จึงล้างออก วิธีนี้จะช่วยให้อาการของถุงใต้ตาค่อยๆ ลดลง เพราะชามีสารแทนนินและคาเฟอีนที่มีคุณสมบัติช่วยลดอาการบวมลงได้

กากใบชา

กากใบชา


4.น้ำมันอัลมอนด์
ก่อนเข้านอนลองบำรุงผิวรอบดวงตาด้วยน้ำมันอัลมอนด์โดยนำมานวดเบาๆ ที่บริเวณใต้ตา แล้วปล่อยทิ้งไว้ตลอดทั้งคืนตื่นเช้ามาค่อยล้างหน้าตามปกติ น้ำมันอัลมอนด์จะช่วยบำรุงผิวรอบดวงตาให้ชุ่มชื้นสดใสและป้องกันอาการถุงใต้ตาบวมได้

น้ำมันอัลมอนด์

น้ำมันอัลมอนด์


5.มะเขือเทศ
ผักอย่างมะเขือเทศก็ช่วยลดปัญหาถุงใต้ตาได้เหมือนกัน โดยนำมะเขือเทศมาหั่นเป็นแว่นบางจากนั้นนำมาวางบนเปลือกตาทั้งสองข้าง ปล่อยไว้ประมาณ 30 นาทีแล้วล้างออก ทำเป็นประจำด้วยสูตรนี้ รับรองว่าจะช่วยแก้ปัญหาตาบวมอย่างเห็นได้ชัด อีกทั้งวิตามินซีจากมะเขือเทศยังช่วยลดความหมองคล้ำและบำรุงผิวดวงตาให้สดใสขึ้นได้ด้วย

มะเขือเทศ

มะเขือเทศ

6.ว่านหางจระเข้
ให้ใช้วุ้นว่านหางจระเข้สด ๆ นำมาทาใต้ตา แล้วนวดเป็นวงกลม ทิ้งไว้แบบนั้นแล้วเข้านอน จะช่วยแก้ปัญหารอบตาคล้ำได้
ว่านห่างจระเข้

ว่านห่างจระเข้

7.นวดด้วยนิ้วมือ 
เป็นวิธีที่ง่ายสุดในการช่วยขจัดปัญหารอยคล้ำรอบดวงตาที่มีสาเหตุมาจากการที่เลือดไหลเวียนไม่ดี วิธีนี้ให้คุณใช้นิ้วชี้กดเบา ๆ ที่ใต้ตาด้านล่างช้า ๆ จากซ้ายไปขวา โดยให้ทำซ้ำไปมาประมาณ 10 ครั้ง และควรทำหลังจากตื่นนอนตอนเช้า ซึ่งวิธีนี้จะช่วยไล่ความคล้ำที่เกาะอยู่รอบดวงตาให้จางหายไปได้ ส่วนอีกวิธีให้ใช้ผ้าขนหนูชุบน้ำอุ่น นำมาประคบบนเปลือกตาประมาณ 5 นาที แล้วให้ล้างด้วยน้ำเย็นจัด จากนั้นให้หลับตาลงพร้อมกับใช้นิ้วกลางกดที่หางคิ้วทั้งสองข้าง แล้วใช้นิ้วโป้งกดเบ้าตาช่วงหัวตาค้างไว้ประมาณ 5 วินาที ค่อย ๆ ปล่อยแล้วกดลงไปใหม่ทำซ้ำกันประมาณ 5-10 ครั้ง ต่อมาให้ใช้นิ้วกลางกดที่สันจมูก ช่วงหัวตาค้างไว้ประมาณ 5 วินาที แล้วค่อย ๆ ปล่อยแล้วกดลงไปใหม่ ทำซ้ำกันประมาณ 5-10 ครั้ง
นวดหน้าด้วยมือ

นวดหน้าด้วยมือ

8.ทรีตเมนต์เบา ๆ 
วิธีแรก – ให้คุณนำสำลีกลม ๆ จุ่มลงในน้ำเย็นหรือน้ำกุหลาบ วางทิ้งไว้บนเปลือกตาประมาณ 10 นาที แล้วล้างออก
วิธีที่สอง – ให้คุณใช้เกลือ 1 ช้อนชา นำมาผสมกับน้ำร้อนครึ่งถ้วย แล้วใช้ผ้านุ่ม ๆ หรือสำลีชุบน้ำเกลือและบีบน้ำออกเล็กน้อย แล้วนำมาปิดเปลือกตาทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที
วิธีที่สาม – ให้นำช้อนที่แช่เย็นจัดมาวางไว้บนเปลือกตาสักพัก เพื่อช่วยคลายอาการรอบดวงตาที่ดำคล้ำ
วิธีที่สี่ – ให้นำผักชีฝรั่งไปวางไว้บนถาดทำน้ำแข็งที่มากับตู้เย็น พร้อมกับเติมน้ำลงไปเพื่อทำเป็นน้ำแข็งก้อน แล้วนำก้อนน้ำแข็งที่มีผักชีฝรั่งอยู่ในน้ำแข็งนั้นมาลูบ ๆ วน ๆ รอบดวงตาที่ดำคล้ำ สารคลอโรฟิลล์ที่อยู่ในผักชีฝรั่งจะช่วยขจัดรอยคล้ำใต้ตาได้ รวมทั้งน้ำแข็งยังช่วยลดอาการตาบวมได้อีกด้วย

เพื่อความงามของผิวพรรณใบหน้า แม้จะเป็นจุดเล็กๆ อย่างผิวรอบดวงตาก็ตาม อย่าปล่อยให้ปัญหาถุงใต้ตาบวมเป็นปัญหาที่เรื้อรังกันต่อไปทุกวันหันมาเข้านอนเร็ว หลีกเลี่ยงการกินเค็มและหมั่นแก้ด้วยวิธีที่เรานำมาฝาก เชื่อว่าไม่นานผิวดวงตาจะสดใสสวยปิ๊งและหมดปัญหาถุงใต้ตาบวมเป่งแน่นอน

 
 
ข้อมูลจาก : www.meemodel.com/health,medthai.com
Back To Top