fbpx skip to Main Content
วิตามินกู้ผิวสวยทันใจ

วิตามิน…กู้ผิวสวยทันใจ

 

“ไลโคปีน สารสกัดจากเมล็ดองุ่น และวิตามินอี” นับเป็นอาหารเสริมบำรุงผิวยอดนิยมที่หาซื้อง่าย มีวางขายอยู่ทั่วไป วันนี้มีข้อมูลเกี่ยวกับวิตามินกู้ผิวสวยแบบเร่งด่วนมาบอกกัน เพื่อให้ได้รับข้อมูลที่เป็นประโยชน์ก่อนตัดสินใจหามาบำรุงกันค่ะ

 

ไลโคปีน

“ป้องกันแสงแดด ชะลอผิวแก่”

ไลโคปีน (Lycopene) เป็นสารในกลุ่มแคโรทีนอยด์ มีรายงาน ว่ามีประโยชน์ต่อสุขภาพหลายประการ โดยลดความเสี่ยงการเกิด มะเร็งที่อวัยวะต่างๆ เช่น ต่อมลูกหมาก ปอด กระเพาะอาหาร ตับอ่อน ลำไส้ใหญ่ ลดความเสี่ยงโรคกระดูกพรุน โรคหัวใจและ หลอดเลือด มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ชะลอความแก่ ต้านการอักเสบ นอกจากนี้ยังช่วยปกป้องผิวจากแสงแดด ช่วยชะลอริ้วรอยก่อนวัยอีกด้วย

ไลโคปีนสามารถพบได้ทั่วไปในอาหาร เช่น มะเขือเทศ แตงโม เกรปฟรุต มะละกอ ฝรั่งสีชมพู แต่สำหรับในรูปอาหารเสริมพบว่า นิยมสกัดไลโคปีนจากมะเขือเทศ และหลายงานวิจัยก็นิยมหยิบยก มะเขือเทศและผลิตภัณฑ์จากมะเขือเทศมาศึกษาถึงประโยชน์ของไลโคปีน

การศึกษาจากวารสาร The British Society for Investigative Dermatology พบว่า ผลิตภัณฑ์มะเขือเทศเข้มข้น (Tomato Paste) ที่อุดมไปด้วยไลโคปีนสามารถช่วยเสริมโครงสร้างผิวให้แข็งแรง และยืดหยุ่น จึงไม่เพียงช่วยปกป้องผิวจากแสงแดด ลดความรุนแรงจากผิวไหม้แดด และยังมีส่วนช่วยชะลอความเสื่อมของผิว ชะลอผิวไม่ให้แก่ก่อนวัยได้อีกด้วย

มะเขือเทศ

 

ทานอย่างไร?

แนะนำให้ผู้ใหญ่และวัยรุ่นรับประทานสารสกัดแคโรทีนอยด์ (Carotenoid) ที่มีส่วนผสมของไลโคปีนไม่เกินวันละ 15,000 ไอยู  (9 กรัม) และควรทานร่วมกับมื้ออาหาร ที่มีส่วนประกอบของไขมันดี เช่น น้ำมันมะกอก เพื่อเพิ่มการดูดซึมไลโคปีน สำหรับไลโคปีนจาก ธรรมชาติ แนะนำให้ทานมะเขือเทศปรุงสุกและผลิตภัณฑ์จากมะเขือเทศที่ผ่านความร้อน เช่น ผลิตภัณฑ์ มะเขือเทศเข้มข้น ซอสมะเขือเทศ ซุปมะเขือเทศ เพราะมีปริมาณไลโคปีนมากกว่ามะเขือเทศสด

ข้อควรระวังในการรับประทาน

ขณะนี้ก็ยังไม่มีรายงานความเป็นพิษ ของการบริโภคมะเขือเทศในรูปแบบอาหารและสารสกัดไลโคปีน แต่หากรับประทานมากเกินไปอาจทำให้ ผิวหนังเปลี่ยนเป็นสีส้มแดงชั่วคราว สีผิวที่ เปลี่ยนแปลงไม่ก่อให้เกิดอันตรายและสีผิวสามารถ กลับเป็นปกติได้เมื่อหยุดกินหรือลดปริมาณลง แต่ทั้งนี้ไม่แนะนำให้ผู้ป่วยโรคไตรับประทาน เพราะปริมาณ สารอาหารต่างๆ รวมถึงเกลือในซอสมะเขือเทศ หรือผลิตภัณฑ์จากมะเขือเทศเข้มข้นอาจทำให้ไตของผู้ป่วยทำงานหนักขึ้น

 

สารสกัดเมล็ดองุ่น

“ช่วยให้ผิวกระจ่างใส ขจัดเส้นเลือดขอด”

สารสกัดจากเมล็ดองุ่น (Grape Seed Extracts) เป็นสารฟีโนลิกที่มีหลายชนิด เช่น โปรไซยานิดิน (Procyanidins) โปรแอนโท- ไซยานิดิน (Proanthocyanidins) โอลิโกเมอริค โปรไซยานิดิน (Oligomeric Procyanidins) แต่ละชนิดล้วนมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระซึ่งเป็น สาเหตุของโรคเรื้อรังต่างๆ รวมถึงมีการศึกษา พบว่า ผู้ที่เสริมสารสกัดจากเมล็ดองุ่นเป็นประจำ มีระดับสารต้านอนุมูลอิสระในเลือดเพิ่มขึ้น นักวิทยาศาสตร์จึงเชื่อว่า สารสกัดเมล็ดองุ่น มีผลช่วยป้องกันโรคหัวใจ โรคมะเร็ง ชะลอ ความแก่ รวมถึงช่วยส่งเสริมสุขภาพผิวอีกด้วย

สารสกัดจาก เมล็ดองุ่นมีส่วนช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น โดยทำให้สารที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการสร้างหลอดเลือด มีปริมาณเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ยังพบว่า สารสกัดจากเมล็ดองุ่นช่วยให้เลือดไหลเวียนดีขึ้น จึงลดการเกิดเส้นเลือด ขอด ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้ผิวไม่เรียบเนียนได้อีกด้วย

เมล็ดองุ่น

ทานอย่างไร?

สารสกัดจากเมล็ด องุ่นผ่านการรับรองความปลอดภัยจาก สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาประเทศสหรัฐอเมริกา โดยปริมาณที่แนะนำ เพื่อต้านอนุมูลอิสระ ช่วยเพิ่มความเปล่งปลั่งให้ผิว คือ วันละ 100 มิลลิกรัม และ 200 มิลลิกรัม สำหรับบรรเทาอาการเส้นเลือดขอด

 

ข้อควรระวัง

สารสกัดจากเมล็ดองุ่น มีผลชะลอการแข็งตัวของเลือด ผู้ที่รับประทานยาต้านการแข็งตัวของเลือด ยาต้านเกล็ดเลือด เป็นโรคเลือดไหลไม่หยุด ไม่ควรกิน และหากต้องทำฟันหรือเข้ารับการผ่าตัด ควรหยุดรับประทานสารสกัดจากเมล็ด องุ่นอย่างน้อย 2 สัปดาห์

 

วิตามินอี

“ลดผื่นแพ้ ช่วยสมานแผลหายไว”

วิตามินอีหรือโทโคฟีรอล (Tocopherol) มีคุณสมบัติช่วยต้านอนุมูลอิสระ หากกินในปริมาณที่พอเหมาะสามารถช่วยป้องกันหลอดเลือดแข็งตัว ลดความเสี่ยง ของโรคหัวใจ ป้องกันโรคมะเร็งโรคอัลไซเมอร์ และมีส่วนช่วยฟื้นฟูสุขภาพผิวด้านต่างๆ จากการศึกษาพบว่า วิตามินอี มีคุณสมบัติช่วยให้ผิวชุ่มชื้นลดอาการผื่นแพ้ ช่วยบรรเทาโรคผื่นจากภูมิแพ้ผิวหนัง นอกจากนี้ยังพบว่า หากทานวิตามินอีร่วมกับวิตามินซี ซึ่งอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ สามารถป้องกันผิวจากรังสียูวี สาเหตุของผิวไหม้แดดและผิวแก่ก่อนวัยได้ และหากเสริมสังกะสีร่วมด้วยจะมีผลช่วยให้แผลหายเร็วยิ่งขึ้น

ดอกคำฝอย

ดอกทานตะวัน

น้ำมันถั่วเหลือง

ทานอย่างไร?

แนะนำให้รับประทานวิตามินอีวันละ 400 ไอยู โดย เลือกวิตามินอีที่สกัดจากน้ำมันพืชธรรมชาติ แทนวิตามินสังเคราะห์ เช่น น้ำมันรำข้าว น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันดอกคำฝอย น้ำมันดอกทานตะวัน

วิตามินอีละลายในไขมัน ฉะนั้นเพื่อช่วยเพิ่มการดูดซึมจึงแนะนำให้ทานร่วมกับมื้ออาหารที่ปรุงโดยใช้น้ำมัน นอกจากนี้สามารถเลือกทานวิตามินอีได้จากอาหารธรรมชาติ เช่น น้ำมันพืชต่างๆ ธัญพืช อะโวคาโด ข้าวโพด ถั่ว และผักใบเขียวได้

ข้อควรระวัง

หากทานวิตามินอีมากเกินไปอาจทำให้เกิดอาการคลื่นไส้ ปวดท้อง นอกจากนี้ ผู้ที่รับประทานยาต้านการแข็งตัว ของเลือดไม่ควรทานอาหารเสริมวิตามินอี เพราะอาจทำให้เลือดหยุดไหลยาก

 

 

ทานอาหารเสริมบำรุงผิวแล้ว อย่าลืมรับประทานอาหารที่มีประโยชน์จากธรรมชาติ ดื่มน้ำให้เพียงพอ บำรุงผิวเป็นประจำ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และพักผ่อนให้เพียงพอนะคะ เพื่อช่วยส่งเสริมสุขภาพผิวให้แข็งแรง สวยใสได้ยาวนานยิ่งขึ้นค่ะ

 

Back To Top