หลากหลายวิธีแก้รอยแผลเป็นให้ผิวกลับมาเรียบเนียน
เมื่อร่างกายเราเกิดบาดแผลขึ้นจากสาเหตุต่างๆ เช่น แผลจากการถูกของมีคมหรืออุบัติเหตุ แผลไฟไหม้ แผลถลอก แผลจากสิว แผลจากการผ่าตัด เป็นต้น ร่างกายของเราจะมีกระบวนการซ่อมแซมบาดแผลที่เกิดขึ้น ด้วยการสร้างเนื้อเยื่อและคอลลาเจนขึ้นมาทดแทน ซึ่งเมื่อบาดแผลหายดีแล้วก็จะปรากฏเป็นรอยแผลเป็นขึ้น
รอยแผลเป็น (Scar) เป็นรอยแผลที่เกิดขึ้นจากการซ่อมแซมของเนื้อเยื่อที่ผิดปกติ ทำให้เกิดเป็นรอยแผลที่แตกต่างจากผิวหนังปกติ ทั้งนี้รอยแผลเป็นจะมีความหนักเบา มากหรือน้อยนั้นก็ขึ้นอยู่ความรุนแรงของการฉีกขาดของบาดแผลและเนื้อเยื่อว่ารุนแรงแค่ไหน และการดูแลรักษาบาดแผลนั้นทำได้ดีมากน้อยเพียงใด
ประเภทของรอยแผลเป็น
รอยแผลเป็นนั้นจะมีด้วยกันหลายประเภท แต่สามารถแบ่งออกมาให้เห็นชัดเจนได้ 6 ประเภทด้วยกัน ดังนี้
- Mature scars เป็นรอยแผลเป็นที่ไม่มีความผิดปกติ แผลเรียบ มีสีใกล้เคียงกับสีผิวหนังปกติ มักเป็นรอยแผลเป็นที่เกิดจากการถูกของมีคม
- Atrophic scars เป็นรอยแผลเป็นที่รอยลึกลงจากผิวหนัง มีสีใกล้เคียงกับสีผิวหนังปกติ มักเป็นรอยแผลเป็นที่เกิดจากสิวหรือโรคอีสุกอีใส
- Stretched scars เป็นรอยแผลเป็นแบบเรียบ แข็ง ไม่นูน ขอบของรอยแผลเป็นจะไม่ขยายออกไปกว่าบาดแผลเดิม มีสีจางกว่าสีผิวปกติ มักเป็นรอยแผลเป็นที่เกิดจากการผ่าตัดบริเวณหัวเข่าหรือหัวไหล่
- Contracted scars เป็นรอยแผลเป็นที่มีการหดรั้งของชั้นผิวหนัง มักเกิดบริเวณข้อต่างๆ เช่น ข้อศอก ข้อมือ
- Hypertrophic scars เป็นรอยแผลเป็นที่นูนขึ้นเหนือผิวหนังปกติ มีสีเข้มกว่าสีผิวปกติ ขอบของรอยแผลเป็นมีขนาดเท่ากับแผลเดิม จะมีอาการคันและระคายเคืองในช่วงแรก มักเป็นรอยแผลเป็นที่เกิดจากบาดแผลที่มีการฉีกขาดมากหรือบาดแผลที่มีความลึกมาก
- Keloids เป็นรอยแผลเป็นที่นูนสูงจากผิวหนังมาก ขอบเขตแผลมีการขยายกว้างมากกว่ารอยแผลเดิม มีสีเข้มกว่าสีผิวปกติ จะมีอาการคันและระคายเคืองในช่วงแรก
หลากหลายวิธีการรักษารอยแผลเป็น
เมื่อเกิดบาดแผลขึ้นสิ่งสำคัญที่เราต้องใส่ใจคือ การดูแลบาดแผลของเราให้ดีที่สุด และเหมาะสมที่สุด เพื่อให้แผลของของเราหายเป็นปกติ และทำให้เกิดรอยแผลเป็นให้น้อยที่สุด
*ยิ่งบาดแผลหายเร็วได้เท่าไร โอกาสที่จะเกิดเป็นรอยแผลเป็นก็จะลดลงด้วย*
การดูแลรักษาบาดแผลให้หายเป็นปกตินั้น นอกจากการดูแลความสะอาดของบาดแผลและปิดบาดแผลเพื่อป้องกันการติดเชื้อและอักเสบแล้ว ปัจจัยสำคัญในด้านอื่นๆ ที่จำเป็นต่อการหายของบาดแผลก็เป็นสิ่งที่ควรปฏิบัติ เช่น อาหารที่รับประทานที่ควรเน้นโปรตีน วิตามิน C และ Zinc (สังกะสี) เพื่อใช้ในการซ่อมแซมร่างกาย งดดื่มสุราและสูบบุหรี่ รวมถึงอุณหภูมิรอบตัวที่อบอุ่นก็ช่วยให้แผลหายไวได้เช่นกัน
แต่หากเกิดรอยแผลเป็นขึ้นแล้ว ก็ไม่ใช่เรื่องที่น่ากังวลใจ เพราะปัจจุบันมีวิธีการที่หลากหลายเพื่อแก้ไขปัญหารอยแผลเป็นกวนใจ เพื่อให้ผิวกลับมาเรียบเนียนได้ ยกตัวอย่างที่น่าสนใจได้ดังนี้
- ปล่อยเอาไว้จนกว่าจะจางไปเอง เป็นวิธีที่ต้องใช้ระยะเวลาพอสมควรเพื่อให้รอยแผลเป็นจางลงไปเอง หรืออาจปล่อยให้จางลงอย่างเต็มที่ก่อนเข้ารับการรักษาในขั้นตอนต่อไป อาจใช้เวลา 12-18 เดือน
- กลบปิดแผลเป็นด้วยวิธีการต่างๆ สำหรับรอยแผลเป็นบางจุดที่ไม่ใหญ่มาก หรือมีสีที่ไม่ต่างจากสีผิวเดิม อาจใช้เครื่องสำอางปกปิดอำพรางได้เช่นกัน หรือบางคนก็อาจเลือกวิธีการสักลายลงไปที่ผิวเพื่อปกปิดแผลเป็นแบบถาวรเลยก็ได้
- ใช้ผลิตภัณฑ์ทาเพื่อแก้รอยแผลเป็น โดยสามารถหาซื้อได้ง่ายตามร้านขายยาทั่วไป มีทั้งที่เป็นครีมทาลบรอยแผลเป็นหรือยาทาสำหรับแก้ไชรอยแผลเป็น ผลิตภัณฑ์เหล่านี้จะมีส่วนผสมของวิตามิน E ที่ช่วยกระตุ้นให้เซลล์ผิวหนังเร่งการซ่อมแซมแผลได้อย่างดีขึ้น และอาจมีส่วนผสมของวิตามิน A และวิตามิน B3 ที่ช่วยลดความเข้มของสีผิว
นอกจากนี้ผลิตภัณฑ์ทาเพื่อแก้ไขรอยแผลเป็นที่ได้รับความนิยม มักมีส่วนผสมของ Mucopolysaccharides ที่ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดใต้ผิวหนัง ช่วยให้การซ่อมแซมของแผลเป็นไปอย่างสมบูรณ์ รอยแผลเป็นยุบตัวลง แต่ทั้งนี้การจะเลือกผลิตภัณฑ์ทาเพื่อแก้รอยแผลเป็นนั้นควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนเสมอ เพื่อให้เหมาะกับผิวของตัวเอง และป้องกันอาการแพ้ที่อาจเกิดขึ้นได้
4.ฉีด Filler เติมเต็ม กรณีที่รอยแผลเป็นมีลักษณะบุ๋มลงไปในผิวหนัง สามารถใช้ Filler ที่เป็นสารเติมเต็มที่สกัดมาจาก Hyaluronic Acid เข้าไปเติมรอยบุ๋มของแผลให้กลับมาเต่งตึงได้ ซึ่งผลลัพธ์จะคงอยู่ได้นาน 6-8 เดือน จากนั้นจะค่อยๆ ย่อยสลายไป และต้องฉีดใหม่
ในกรณีที่รอยแผลเป็นมีขนาดกว้างมาก ซึ่งเป็นผลจากบาดแผลที่มีความรุนแรงของการฉีกขาดสูง แพทย์จะผ่าตัดแก้ไขด้วยนำผิวหนังส่วนอื่นมาปะติดแทน
เหล่านี้ที่กล่าวมาข้างต้นเป็นเพียงตัวอย่างของการแก้ไขรอยแผลเป็นสำหรับให้ได้เลือกวิธีการกัน แต่ในปัจจุบันก็ยังไม่มีวิธีใดที่จะสามารถแก้ไขรอยแผลเป็นได้อย่างสมบูรณ์แบบ ดังนั้นหัวใจสำคัญของการป้องกันการเกิดรอยแผลเป็นก็คือการดูแลรักษาบาดแผลอย่างเหมาะสมตั้งแต่เบื้องต้นนั้นเอง โดยการไปพบแพทย์และรับการรักษาที่ถูกต้อง พร้อมทั้งปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด ก็จะช่วยลดโอกาสการเกิดรอยแผลเป็นที่เราไม่พึงประสงค์ได้ในระดับหนึ่ง