โรคกระเพาะและกรดไหลย้อน หนึ่งในออฟฟิศซินโดรมที่คุณควรป้องกัน
เวลามื้ออาหารที่เร่งรีบเกิดจากเวลาทำงาน ที่ทำให้เราอาจบริโภคอาหารไม่ตรงเวลา เนื่องจากการทำงานหรือการประชุมติดพัน ซึ่งชีวิตเร่งรีบแบบนี้ จึงทำให้เรามีพฤติกรรมเสี่ยงที่จะส่งผลเสียต่อร่างกายและทำให้เกิด สภาวะเจ็บป่วยได้ง่าย และที่พบได้บ่อยก็คือ โรคเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหาร เช่น โรคกระเพาะอาหาร โรคกรดไหลย้อน และอาการอื่น ๆ ที่พบบ่อย คือ อาหารไม่ย่อย ท้องอืด ท้องเฟ้อ จุกเสียดแน่น หลังจากรับประทานอาหาร ซึ่งอาการเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เกิดจากสภาวะเร่งรีบ รวมทั้งพฤติกรรมการรับประทานอาหารที่ไม่ถูกต้อง
อาการดัวกล่าวล้วนแล้วแต่อยู่ในหมวดหมู่ของกลุ่มอาการของ โรคออฟฟิศซินโดรม (Office Syndrome) ซึ่งเป็นอาการที่ส่งผลเสียทำให้เราเจ็บป่วย ไม่สบายตัว และเป็นอุปสรรคต่อการทำงาน ทำให้ทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ
เมื่อเราทราบถึงปัญหาที่เกิดขึ้นแล้ว ทางที่ดีคือการรู้จักวิธีรักษาตัวเองในเบื้องต้น คือ รู้จักสังเกตอาการของตัวเองว่าเป็นอย่างไร มีสภาวะที่ผิดปกติอะไรบ้าง หรือควรหาผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพที่อยู่ใกล้ตัวเรา เช่น สมุนไพรพื้นฐาน ซึ่งหาได้ง่ายและสามารถช่วยรักษาและป้องกันอาการที่เกิดขึ้นเหล่านี้ได้
โรคกระเพาะอาหาร
โรคกระเพาะอาหาร คือ ภาวะที่มีแผลเยื่อบุกระเพาะและลำไส้ถูกทำลาย ถึงแม้ว่าจะเรียกว่าโรคกระเพาะแต่ก็สามารถเป็นได้ทั้งที่กระเพาะและลำไส้ เพราะน้ำกรดหรือน้ำย่อยในทางเดินอาหารของเราได้หลั่งออกมามากเกินความจำเป็น ส่งผลทำให้ไปกัดกร่อนหรือทำลายเนื้อเยื่อที่อยู่ภายในทางเดินอาหารของเรา และสาเหตุที่ทำให้มีน้ำกรดหรือน้ำย่อยออกมามากเกินนั้น ก็มีสาเหตุมาจากหลาย ๆ ปัจจัย ซึ่งส่วนใหญ่ก็เกิดจาก พฤติกรรมของเราเป็นส่วนใหญ่ ได้แก่
- การถูกกระตุ้นของระบบปลายประสาท ซึ่งเกิดจากความเครียดหรือวิตกกังวล
- การดื่มแอลกอฮอล์ ได้แก่ เหล้า เบียร์ ยาดอง
- ชา กาแฟ หรือเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน (Caffeine) เพราะสารชนิดนี้จะมีผลกระตุ้นทำให้กรดหลั่งออกมามาก
- การสูบบุหรี่ก็มีผลกระตุ้นทำให้เกิดการหลั่งกรดออกมามากด้วยเช่นกัน
- การกินอาหารไม่เป็นเวลา ทำให้น้ำกรดในร่างกายมีสภาวะสับสน และทำให้น้ำกรดหลั่งออกมาไม่ถูกเวลา จึงส่งผลกระทบกัดกร่อน เนื้อเยื่อในทางเดินอาหารได้
- นอกจากพฤติกรรมดังกล่าวยังมีอีกหลายปัจจัยปัจจัยเสี่ยงต่อการเป็นโรคกระเพาะได้ เช่น การเลือกรับประทานยาที่มีฤทธิ์กัดหรือทำลายเนื้อเยื่อทางเดินอาหาร การมีโรคประจำตัว เช่น โรคไทรอยด์เป็นพิษ ที่ส่งผลกระตุ้นน้ำกรดหลั่งออกมาได้เช่นกัน หรือเกิดจากสภาวะติดชื้อในทางเดินอารหาร (Helicobacter pylori) ซึ่งสาเหตุที่ก่าวมานี้ล้วนส่งผลให้เนื้อเยื่อทางเดินอาหารของเราถูกทำลายได้ทั้งนั้น
อาการของโรคกระเพาะ
- ปวดท้อง ลักษณะอาการปวดท้องที่สำคัญ คือ
- ปวดตรงบริเวณกลางท้อง เหนือสะดือ หรือบริเวณใต้ลิ้มปี่ (เพราะตำแหน่งนี้เป็นตำแหน่งของกระเพาะอาหาร) รวมทั้งมีอาการของ ปวดแบบจุกเสียด แสบร้อน จนบางครั้งผู้ป่วยจะต้องงอตัวเพื่อบรรเทาอาการปวด ซึ่งอาการแบบนี้จะเป็นอยู่แบบเป็น ๆ หาย ๆ
- อาการปวดจะสัมพันธ์กับอาหารและเวลา เช่น เมื่อหิวก็ปวด อิ่มก็ปวด แต่ในบางรายอาจมีอาการปวดในช่วงกลางคืนได้ด้วย
- จุกเสียด แน่นท้อง ท้องอืด ท้องขึ้น ท้องเฟ้อ เรอลม มีลมในท้อง ร้อนในท้อง คลื่นไส้อาเจียน
- อาการโรคแทรกซ้อนที่พบ ได้แก่
- อาเจียนหรือถ่ายดำ เนื่องจากมีเลือดออกในกระเพาะอาหารหรือลำไส้เล็กส่วนต้น
- ปวดท้องรุนแรงและช็อค เนื่องจากแผลกระเพาะอาหารหรือลำไส้เล็กทะลุ
- ปวดท้องและอาเจียนมาก เนื่องจากการอุดตันของกระเพาะอาหาร
- บางรายไม่มีความสัมพันธ์หรือแสดงอาการอะไร แต่มีภาวะน้ำหนักตัวลด เบื่ออาหาร แน่นท้อง คลื่นไส้อาเจียนบ่อย ๆ ตลอดเวลา และเมื่อไปรักษาก็มักจะพบว่ามีแผลในกระเพาะหรือเนื้อเยื่อให้ทางเดินอาหารที่ใหญ่มาก ดังนั้นเราไม่ควรให้อาการแบบนี้เกิดขึ้น
โรคกรดไหลย้อน
กรดไหลย้อน (Gastroesophageal Reflux Disease – GERD) คือ ภาวะที่มีน้ำย่อย หรือ น้ำกรดในกระเพาะอาหาร ไหลย้อนขึ้นไปในหลอดอาหารจนส่งผลให้มีอาการต่าง ๆ เหล่านี้ คือ
- ระคายเคืองบริเวณลำคอ ทำให้บางคนมีเสียงแหบ เสียวฟัน เรอเปรี้ยว กลืนน้ำลายติดขัด หรือเหมือนมีอะไรมาจุกอยู่บริเวณลำคอ หรือมีอาการไอเรื้อรังเป็นเวลานาน ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นสาเหตุที่เกิดจากน้ำกรดในร่างกายของเราไหลย้อนกลับขึ้นไปนั่นเอง
- แสบร้อนบริเวณหน้าอก หรือจุกเสียดแน่นบริเวณใต้ลิ้นปี่ ทำให้มีอาการเจ็บหน้าอก คล้ายๆ กับแน่นหน้าอก เหมือนคนเป็นโรคหัวใจ
- จุก เสียด แน่นท้อง อาหารไม่ย่อย ซึ่งจะมีอาการจะคล้ายกับคนเป็นโรคกระเพาะอาหาร
อาการที่ได้กล่าวมาข้างต้นนั้นมีสาเหตุหลักที่เกี่ยวข้องมาจากความผิดปกติในการทำหน้าที่ของหูรูดหลอดอาหาร จนมีผลทำให้น้ำกรด ซึ่งควรจะลงไปในกระเพาะอาหาร แต่กลับไหลย้อนขึ้นมาในหลอดอาหารอีกครั้ง ซึ่งอาจจะมาจากการคลายตัวของหูรูดหลอดอาหารส่วนล่างโดยที่ไม่มีการกลืน หรือมาจากความดันของหูรูดของหลอดอาหารส่วนล่างลดลง จนไม่สามารถต้านแรงดันในช่องท้องและการบีบตัวของกระเพาะอาหารได้ ซึ่งอาการเหล่านี้อาจเกิดขึ้นเป็นครั้งคราวหรือนาน ๆ ครั้งจะเป็น แต่บางคนก็อาจจะเป็นได้ตลอดเวลาเช่นกัน นอกจากสรีระในร่างกายที่ทำงานบกพร่องแล้วยังมีอีกหลายปัจจัยที่ส่งผลให้เป็นกรดไหลย้อนได้อีกด้วย คือ
- พฤติกรรมการบริโภคการรับประทานอาหารอาหารรสจัดหรือรสเผ็ด อาหารประเภทไขมันสูง อาหารทอด ชา กาแฟ น้ำอัดลม การดื่มสุรา รวมทั้งการสูบบุหรี่
- พฤติกรรมการนอนหรือการเอนกายทันทีหลังรับประทานอาหาร
- ความเครียดส่งผลให้น้ำกรดหลั่งออกมาตลอดเวลาก็ทำให้ล้นไหลขึ้นมาได้
- โรคอ้วน เพราะด้วยสรีระที่แน่นอึดอัด พุงใหญ่ ตลอดจนการสวมเสื้อผ้าที่คับและการรัดเข็มขัดแน่น ๆ ก็เป็นสาเหตุของการเกิดโรคได้เช่นกัน
- การตั้งครรถ์ ด้วยเหตุผลคล้ายกับโรคอ้วน เพราะมีสรีระรูปร่างๆ คล้ายๆ กัน
- ยาบางชนิด เช่น ยาขยายหลอดลม ยาลดความดันบางกลุ่ม ตลอดจนกลุ่มยาฮอร์โมนบางตัวก็มีผลกระตุ้นการคลายตัวของหูรูดหรือมีการหลั่งกรดมากขึ้น
วิธีการรักษาหรือดูแลตัวเองในเบื้องต้น
- ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมบางอย่าง คือ ลดสภาวะตึงเครียดหรือเร่งรีบ จนทำให้เครียดและส่งผลให้ร่างกายต้องหลั่งน้ำกรดออกมามากเกินไป
- รับประทานยาหรือสมุนไพร เพื่อการรักษาหรือป้องกัน ซึ่งแน่นอนการเลือกรับประทานยานั้นอาจจะอยู่ในความดูแลของบุคลากรการแพทย์เป็นคนดูแล แต่สมุนไพรนั้นยังอยู่ในการตัดสินใจของเราได้ และสมุนไพรพื้นฐานหรือภูมิปัญญาชาวบ้านที่ได้สืบทอดต่อกันมาว่ารักษาและดูแลกระเพาะอาหารหรือเนื้อเยื่อทางเดินอาหารของเราได้คือ “ขมิ้นชัน” ดังนั้นมาทำความรู้จักกับสมุนไพรชนิดนี้กันดีกว่ามันคืออะไร และมีประโยชน์กับเราอย่างไร
สมุนไพรกับการรักษากลุ่มโรคทางเดินอาหาร
สมุนไพรที่ดีมีประโยชน์โดยตรงในการดูแลรักษาโรคกระเพาะอาหารและโรคกรดไหลย้อน รวมถึงอาการจุกเสียด แน่นท้อง มีลมในท้อง อาหารไม่ย่อย คือ ขมิ้นชัน
ขมิ้นชัน (Turmeric) มีชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ ว่า ขมิ้นทอง, ขมิ้นดี, ขมิ้นไข, ขมิ้นหยวก, ขี้มิ้น, ขมิ้นแกง เป็นต้น
สรรพคุณของขมิ้นชัน
ช่วยเจริญอาหาร ยาบำรุงธาตุ ฟอกเลือด แก้ท้องอืดเฟ้อ แน่น จุกเสียด อาหารไม่ย่อย ลดกรด และยังพบว่า สมุนไพร ขมิ้นชัน เป็นสมุนไพรที่มีสารเคอคิวมินอยด์ที่ซึ่งมีอยู่ในเหง้าหรือหัวของขมิ้นชัน สารนี้ช่วยป้องกันการเกิดแผลในกระเพาะอาหาร ลดการอักเสบ กระตุ้นการขับน้ำดีจึงทำให้ระบบการย่อยอาหารดีขึ้น ทั้งยังช่วยกระตุ้นการหลั่งของสาร มิวซิน ซึ่งเป็นสารเคลือบกระเพาะอาหาร จึงทำให้แผลดีขึ้น มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย และน้ำมันในขมิ้นชันยังช่วยแก้ท้องอืดท้องเฟ้อได้อีกด้วย
การเลือกซื้อขมิ้นชันมารับประทาน
จะเห็นได้ว่าประโยชน์ของขมิ้นชันนั้นมีอยู่หลายประการ แต่การที่เราจะนำผงขมิ้นชันมาผลิตเองนั้นก็เป็นเรื่องยาก เนื่องจากอาจจะไม่สะอาด ไม่ถูกหลักอนามัย ไม่ได้มาตรฐาน และที่สำคัญสมุนไพรทุกชนิดเป็นสิ่งที่สามารถเกิดความชื้นได้ง่ายมาก ถ้ากระบวนการผลิตหรือการบรรจุเก็บรักษาทำได้ไม่ดีพอ จะส่งผลทำให้เกิดเชื้อราขึ้นภายในสมุนไพรที่เราจะเลือกรับประทานจนอาจส่งผลเสียต่อร่างกายของเราในอนาคตได้ อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันได้มีการขมิ้นชันมาบรรจุใส่ลงแคปซูลแล้ววางจำหน่ายกันอย่างแพร่หลาย อาทิ อ้วยอันโอสถ ซึ่งเป็นสมุนไพรที่ได้รับการรับรองและมีความปลอดภัยสูง* โดยมีสรรพคุณดังนี้
- ขับลม บรรเทาอาการท้องอืด แน่นท้อง
- แก้โรคแผลกระเพาะอาหารและลำไส้อักเสบ
- มีฤทธิ์ต่อต้านอนุมูลอิสระ
หมายเหตุ : ปลอดภัยด้วยการใช้เจลลาตินคุณภาพดีที่ไม่ผสมสารกันเสีย ผ่านมาตรฐานจากองค์การอาหารและยา และมีมาตรฐาน GMP PICS
แหล่งอ้างอิง : คัมภีร์เภสัชรัตนโกสินทร์, ฐานข้อมูลเครื่องยาสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี, ไทยเกษตรศาสตร์, มูลนิธิเครือข่ายครอบครัว, คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
ขอขอบคุณบทความจาก: www.medthai.com