fbpx skip to Main Content
รักษารอยแตกลาย

ลดรอยผิวแตกลาย โดยไม่ต้องใช้เลเซอร์

ปัญหาผิวแตกลาย เป็นรอยเห็นชัดจากการที่น้ำหนักขึ้นๆ ลงๆ เร็วเกินไป มีอาการคัน เกาแล้วผิวแตกลาย

วันนี้เรามีวิธีลด วิธีรักษาบำรุงผิวช่วยลดเลือนริ้วรอยให้จางลง โดยไม่ต้องพึ่งคอร์สเลเซอร์ราคาแพง 

1 น้ำเลม่อน LEMON JUICE

น้ำเลม่อน

น้ำเลม่อน

 

น้ำเลม่อน มีความเป็นกรดที่ช่วยรักษารอยแตกลายรวมถึงแผลเป็นอื่นๆอีกด้วย ส่วนวิธีทำนั้นง่ายมากๆ หั่นเลม่อนครึ่งลูก แล้วนำมาถูบริเวณผิวที่มีผิวรอยแตกลาย ทิ้งไว้สัก 10 นาทีให้น้ำเลมอนซึมเข้าสู่ผิว แล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น แนะนำให้ทำสัปดาห์ละครั้งค่ะ

 

2 ไข่ขาว EGG WHITES

ไข่ขาว

ไข่ขาว

 

 

ไข่ขาวสามารถช่วยลดรอยแตกได้ เนื่องจากไข่ขาวมีกรดอะมิโนและโปรตีนที่ช่วยในการฟื้นฟูเซลล์ผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพนั่นเอง

ส่วนขั้นตอนการเตรียม คือ ตอกไข่สองใบแล้วแยกไข่ขาวออกจากไข่แดง ตีให้เข้ากัน แล้วใช้ “แปรง” หรือ “นิ้ว” ทาบนผิวบริเวณที่มีรอยแตก แล้วรอให้แห้งประมาณ 10-15 นาที หลังจากนั้นล้างออกด้วยน้ำอุ่นก็เป็นอันเสร็จวิธีการ  สำหรับวิธีการบำรุงรักาานี้สามารถทำได้ทุกวัน

 

3 ว่านหางจระเข้ ALOE VERA

ว่านหางจระเข้

ว่านหางจระเข้

 

ว่านหางจระเข้ มีฤทธิเย็นและสรรพคุณในการช่วยบรรเทาผิวของมันจะช่วยให้รอยแตกลายของผิวจางลงได้ แนะนำให้ใช้แบบสดๆ จากใบ ก่อนนำว่านหางจระเข้มาใช้ต้องล้างน้ำยางออกให้หมดเพื่อป้องกันการระคายเคืองจากยางว่านหางจระเข้ นำใบว่านหางจระเข้มาถูบริเวณผิวที่มีรอยแตกประมาณ 5 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น สามารถทำได้ทุกวันเช่นกัน

 

4  สครับผิวสวยด้วยน้ำตาล SUGAR SCRUB

sugar scrub

sugar scrub

 

สครับผิวสวยโดยใช้น้ำตาลเป็นวัตถุดิบหลัก สูตรนี้เหมาะสำหรับแก้รอยแตกลายได้ texture ของน้ำตาล สามารถช่วยผลัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วและทำให้รอยแตกจางลงได้

วิธีทำสครับน้ำตาล:

1. ตักน้ำตาล 1 ช้อนโต๊ะใส่ในชาม

2. หยดน้ำเลม่อนและน้ำมันอัลมอนด์ลงในน้ำตาล คนให้เข้ากัน

หลังจากนั้น ให้ทาวนสครับบนบริเวณผิวแตกลายที่ต้องการประมาณ 3-5 นาที ล้างออกด้วยน้ำอุ่นแล้วเช็ดให้แห้ง ทำติดต่อกันทุกวันเป็นเวลาหนึ่งเดือนจะเห็นผลชัดเจน

 

5   น้ำจากมันฝรั่ง POTATO JUICE

 

ฟังดูแปลก แต่ช่วยได้จริง “มันฝรั่ง” สามารถช่วยลดรอยแตกลายได้เช่นกัน เพราะในน้ำมันฝรั่งมีทั้งวิตามินและแร่ธาตุที่จะช่วยเร่งในการฟื้นฟูเซลล์ผิวด้วย ส่วนขนาดของมันฝรั่งนั้น แนะนำขนาดกลางๆ แล้วตัดเป็นแผ่นหนาๆ จากนั้นก็นำมาถูวนบริเวณผิวที่มีรอยแตกลายประมาณ 3-5 นาที ปล่อยให้น้ำมันฝรั่งค่อยๆ แห้งซึมไปกับผิว แล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น

6 น้ำมันมะกอก OLIVE OIL

น้ำมันมะกอก

น้ำมันมะกอก

 

น้ำมันมะกอกนี่สารพัดประโยชน์มาก ช่วยบำรุงได้ทั้งเรื่องผมและผิวพรรณ และด้วยความที่น้ำมันมะกอกนั้นมีฤทธิ์เย็น ชุ่มชื้น และยังมีสารต้านอนุมูลอิสระอีก มันเลยเหมาะที่จะใช้เป็นมอยส์เจอไรเซอร์บำรุงผิวมากๆ ส่วนวิธีใช้นั้น ให้นำน้ำมันมะกอกอุ่นในไมโครเวฟให้พออุ่น ไม่ต้องถึงขั้นร้อนจัด เดี๋ยวจะลวกผิวนะจ้ะ จากนั้นค่อยๆทาลงบนบริเวณที่มีรอยแตกโดยไม่ต้องล้างออก นอกจากนั้น ความอุ่นของน้ำมันจะช่วยให้ระบบหมุนเวียนโลหิตดีและผิวยังนุ่มขึ้นอีกด้วย

 

7 STRETCH MARK CREAM/ MOISTURIZING LOTION

 

Stretch mark cream หรือครีมลดรอยแตกลายขายมากมาย ซึ่งแต่ละแบรนด์ก็มีส่วนผสมและ texture ที่แตกต่างกันออกไป  เนื่องจากสภาพผิวแต่ละคนไม่เหมือนกัน บางคนใช้แล้วได้ผล บางคนใช้แล้วไม่ได้ผลจึงแนะนำให้ลองหลายๆยี่ห้อ จนเจอยี่ห้อที่ถูกกับผิวของตนเอง  ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง รวมไปถึงความสาหัสของบริเวณผิวที่แตกด้วย

ส่วนใครที่อยากประหยัด แนะนำให้ใช้โลชั่นที่มีส่วนผสมของมอยส์เจอไรเซอร์ค่ะ สามารถใช้ได้เช่นกัน การที่ผิวแตกหย่อนคล้อยก็มีสาเหตุมาจากการที่ผิวขาดความชุ่มชื้นด้วยเช่นกัน ดังนั้นเลือกประเภทของครีมที่เหมาะสมกับตัวเองนะจ้ะ

 

8 RETINOL CREAM

เรตินอลหรือกรดวิตามินเอนั้น จะถูกนิยมนำมาใช้ทางด้านความงาม ทั้งเรื่องสิว หรือ anti-aging รวมไปถึงการลดรอยแตกลายของผิวอีกด้วย แต่ทั้งน้ต้องใช้ในปริมาณที่เหมาะสม ต้องจำไว้ว่าสภาพผิวของแต่ละคนไม่เหมือนกัน และหากมีอาการแพ้ แสบแดง ควรหยุดใช้และปรึกษาแพทย์ทันที

 

9 ดื่มน้ำเปล่ามากๆ DRINK WATER!!

ดื่มน้ำเปล่า

ดื่มน้ำเปล่า

 

เรื่องง่ายที่หลายๆ คนอาจทำไม่ครบสักที คือการดื่มน้ำเปล่าให้ได้วันละ 8-10 แก้ว การทำให้ร่างกายชุ่มชื้นตลอดเวลาจะส่งผลให้ผิวพรรณชุ่มชื้นด้วย

 

10 GOOD DIET & EXERCISE

Picture credit

 

Picture credit

หากทำมาหมดทั้ง 9 ข้อแล้วแต่มาตายเอาข้อ 10 คือยังคุมเรื่องโภชนาการไม่ได้ก็จบ การหักโหมลดน้ำหนักเร็วเกินไปก็จะยิ่งทำให้ผิวพรรณหย่อนคล้อยและแตกลายได้ หรือบางคนอาจเลือกที่จะทานยาลดความอ้วน ซึ่งบางตัวก็ทำให้เกิด effect ต่อผิวพรรณได้เช่นกัน ดังนั้น ทางที่ดีคือการหาบาลานซ์ระหว่างการทานอาหารที่มีประโยชน์ในปริมาณที่เหมาะสมกับร่างกาย และหมั่นออกกำลังกายสม่ำเสมอ ไม่หนักไป เบาไป เพียงเท่านี้รับรองว่าคุณจะเห็นผลที่เปลี่ยนแปลงอย่างแน่นอน!

 

ขอขอบคุณข้อมูลบทความจาก

ข้อมูล : favful , www.women.sanook.com

Back To Top