fbpx skip to Main Content
กลิ่นตัว

กำจัดกลิ่นตัว

กำจัดกลิ่นตัว

กลิ่น ถือได้ว่าเป็นตัวส่งสัญญาณการแสดงบุคลิกและตัวตนของบุคคลนั้น ๆ ได้เป็นอย่างดี ทว่าหากกลิ่นที่ออกมาจากร่างกายเป็นกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์แล้ว คงสร้างความลำบากใจให้ทั้งคนที่อยู่รอบข้างและเจ้าของกลิ่นได้ไม่น้อย

กลิ่นตัว หรือ กลิ่นเต่า เมื่อเกิดขึ้นแล้วมักจะเหม็นฉุน จริง ๆ แล้วบางคนอาจไม่ได้มีกลิ่นตัวแรงเท่าไร แต่ติดที่จะใช้น้ำยาระงับกลิ่นเพื่อเพิ่มความหอมและความมั่นใจให้กับตัวเองเท่านั้น แต่ถ้าอยากจะรู้ว่าคุณควรจะใช้น้ำยาระงับกลิ่นกายหรือไม่ ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าให้คุณลองสังเกตขี้หูของตัวเองดู หากขี้หูแห้งมีลักษณะเป็นแผ่นสีขาวก็ไม่มีความจำเป็นต้องใช้น้ำยาระงับกลิ่นกายแต่อย่างใด เนื่องจากคุณไม่ค่อยมีกลิ่นตัวเท่าไร แต่ถ้าขี้หูของคุณเป็นสีคล้ำ แถมเหนียวและเปียกอีกต่างหาก คุณก็ควรจะหาวิธีลดกลิ่นตัวได้แล้วล่ะ

กลิ่นตัว

กลิ่นตัว

สาเหตุของกลิ่นตัว

  1. ต่อมเหงื่อในร่างกาย ร่างกายจะมีต่อมเหงื่อด้วยกัน 2 ต่อม ได้แก่ ต่อม eccrine ซึ่งเป็นต่อมเหงื่อชนิดที่ไม่มีกลิ่น มักจะอยู่ตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย และจะผลิตเหงื่อที่มีลักษณะใสเหมือนน้ำ เหงื่อชนิดนี้จะถูกขับออกมาเมื่อทำกิจกรรมหนัก ๆ หรืออยู่ในภาวะอากาศร้อน ทั้งนี้ก็เพื่อช่วยรักษาอุณหภูมิร่างกายให้คงที่ และต่อม apocrine ซึ่งเป็นต่อมเหงื่อที่มีกลิ่น ซึ่งมักจะกระจายตัวอยู่บางแห่งของร่างกาย โดยเฉพาะตามรูขุมขนบนหนังศีรษะที่จะมีมากที่สุด รองลงมาคือตามรักแร้ ขาหนีบ ก้น และแผ่นหลัง เหงื่อชนิดนี้จะมีลักษณะเหนียวใสคล้ายขี้ผึ้ง มีส่วนผสมของไขมันอยู่มาก นั่นทำให้เวลาเหงื่อชนิดนี้ออกมาก็จะเกิดกลิ่นอันไม่พึงประสงค์ได้ (ร่างกายของเพศหญิงจะมีต่อมเหงื่อมากกว่าเพศชาย แต่ต่อมเหงื่อในเพศชายจะขับเหงื่อออกมามากกว่าต่อมเหงื่อของเพศหญิง)
  2. อาหารบางชนิด เช่น เครื่องเทศและอาหารที่มีสารโคลีนสูง เช่น เนื้อสัตว์ ตับ ไข่ พืชประเภทฝักถั่ว กระเทียม หัวหอม เต้าเจี้ยว ผักชี แกงกะหรี่ แฮม ปลาทูน่า ฯลฯ รวมไปถึงอาหารที่มีรสจัดก็ล้วนแต่เป็นตัวบงการทำให้เกิดกลิ่นอันไม่พึงประสงค์ได้ เพราะทำให้ต่อมเหงื่อขับไขมันออกมากขึ้น โดยเฉพาะบริเวณใต้วงแขน และที่สำคัญยังก่อให้เกิดสารตกค้างในลำไส้ ทำให้เหงื่อมีกลิ่นเฉพาะตัวได้อีกด้วย ซึ่งคนที่รับประทานอาหารจำพวกนี้เยอะก็จะมีกลิ่นตัวแรงมากเป็นพิเศษ เช่น คนแขกหรือคนอินเดียที่นิยมรับประทานเครื่องเทศและแกงกะหรี่กันแทบทุกวัน
  3. ทำความสะอาดมากเกินไป ใช่…คุณอ่านไม่ผิดหรอก เพราะการทำความสะอาดที่ “มากจนเกินไป” ก็อาจทำให้กลิ่นตัวของคุณเลวร้ายลงได้ เช่น ใช้สบู่ต้านแบคทีเรียหรือใช้สครับถูเพื่อขจัดสิ่งสกปรกนานเกินไป และบางคนถึงขนาดใช้แอลกอฮอล์ขัดถูซ้ำอีกที นั่นก็อาจทำให้ผิวของคุณแห้งและแตกได้ มันจึงเป็นสาเหตุทำให้ร่างกายของคุณต้องขับเหงื่อให้มากยิ่งขึ้นเพื่อมาต่อสู้ เนื่องจากร่างกายขาดความชุ่มชื้นมากเกินไปนั่นเอง
  4. อารมณ์ (ความเครียด ความโกรธ หรืออาการตกใจ) หลายคนอาจจะไม่รู้ว่าอารมณ์เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้เกิดกลิ่นตัวอันไม่พึงประสงค์ได้ ทำให้ต่อมเหงื่อขับเหงื่อออกมามากกว่าปกติ คุณอาจจะเห็นบางคนเหงื่อเปียกชุ่มตามรักแร้ ขาหนีบ หรือมือ ก่อนหรือในขณะทำภารกิจสำคัญอะไรบางอย่าง เช่น การเตรียมตัวพรีเซนต์งาน การสัมภาษณ์งาน การเข้าสอบ เป็นต้น นั่นเป็นเพราะเขาเกิดความเครียดและมีความกดดัน จึงทำให้ร่างกายผลิตเหงื่อออกมามาก และยิ่งเหงื่อออกมามากเท่าไรก็จะพลอยส่งกลิ่นรบกวนคนรอบข้างมากตามไปด้วย
  5. ฮอร์โมน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงวัยรุ่นจะมีการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนมาก จึงอาจทำให้เกิดกลิ่นตัวได้เช่นกัน
  6. เกิดจากพันธุกรรมหรือภาวะผิดปกติของร่างกาย อาจทำให้เหงื่อออกมากจนเกิดกลิ่นตัวได้ เช่น การทำงานที่บกพร่องของระบบเผาเผลาญอาหารบางระบบ หรือระบบการย่อยของเอนไซม์ ทำให้ร่างกายสร้างเคมีบางชนิดที่มีกลิ่นแล้วขับออกมาทางเหงื่อ
  7. โรคบางอย่าง ก็อาจเป็นสาเหตุทำให้เหงื่อออกมากจนเกิดกลิ่นตัวได้ เช่น โรคทางสมอง โรคหัวใจ วัณโรค ไทรอยด์ คอหอยพอก โรคตับ โรคไต หรือแม้กระทั่งอยู่ในวัยใกล้หมดประจำเดือน
  8. ยาบางชนิด เช่น ยาทารักษาสิวทั่วไปที่มีส่วนผสมของ Benzoyl Peroxide ซึ่งจะมีผลข้างเคียงคือทำให้เกิดกลิ่นตัว
  9. เสื้อผ้า เสื้อผ้าใยสังเคราะห์หรือเสื้อผ้าหนาจะระบายเหงื่อได้ช้า ทำให้เกิดความอับชื้น ส่งผลทำให้เกิดกลิ่นตัวได้
  10. สภาพอากาศ ในสภาพอากาศร้อนหรือร้อนชื้น จะทำให้เชื้อแบคทีเรียที่ผิวหนังเพิ่มจำนวนมากขึ้นเป็นพิเศษ และเป็นสาเหตุทำให้เกิดกลิ่นตัวได้ง่ายและรุนแรงมากขึ้น

วิธีดับกลิ่นตัว

  1. อาบน้ำแล้วยัง? ควรอาบน้ำให้สะอาดอย่างสม่ำเสมออย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง เพราะประเทศไทยเป็นเมืองร้อน จึงทำให้มีเหงื่อไคลมากและจะต้องอาบอย่างทั่วถึงทุกซอกทุกมุมในร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในจุดอับชื้นหรือตามข้อพับ และใช้สครับรักแร้อาทิตย์ละ 3 ครั้ง วิธีนี้เป็นเรื่องง่ายและสำคัญที่สุด ซึ่งวิธีกำจัดกลิ่นตัวที่ได้ผลมากที่สุด แต่หลาย ๆ คนกลับละเลยเรื่องนี้ โดยเฉพาะหนุ่ม ๆ ที่ชอบเล่นกีฬาช่วงเย็น ก็ควรจะอาบน้ำหลังเล่นกีฬาเพื่อเป็นการล้างเหงื่อไคล และอาบอีกครั้งก่อนเข้านอน
  2. เลือกใช้สบู่ที่ช่วยยับยั้งเชื้อแบคทีเรียโดยตรง และเน้นฟอกบริเวณที่มีการหมักหมมของเหงื่อเพื่อขจัดแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดกลิ่น แต่ในกรณีที่อาบน้ำดีแล้วยังมีกลิ่นตัวอยู่ ก็ต้องแก้ไขโดยทำให้เหงื่อหรือไขมันออกน้อยลง (ซึ่งจะกล่าวในข้อถัดไป) อีกทางหนึ่งก็คือการทำลายเชื้อแบคทีเรียและเชื้อโรคที่ผิวหนัง เช่น การใช้สบู่ผสมยาฆ่าเชื้อหรือการทายาปฏิชีวนะหรือยาฆ่าเชื้อรา และในบางรายอาจต้องใช้การรับประทานยาร่วมด้วย
  3. ปัสสาวะ หลังปัสสาวะหรืออุจจาระแล้วควรล้างอวัยวะเพศให้สะอาดและเช็ดให้แห้ง
  4. ประจำเดือน สำหรับสตรีเมื่อมีประจำเดือนควรล้างอวัยวะเพศให้สะอาดและเปลี่ยนผ้าอนามัยอยู่เสมอ ๆ
  5. โกนขน ใช่…โกนขนนี้แหละช่วยได้ ! ไม่ว่าจะเป็นขนรักแร้ของผู้หญิง หรือผู้ชายบางคนจะมีขนขึ้นยาวทั้งตัว ตั้งแต่แผงอกไล่ลงมารกทึบยันขนหน้าแข้ง เพราะป่าย่อม ๆ นี้ก็เป็นบ่อเกิดของการสะสมเชื้อแบคทีเรียจนเกิดกลิ่นได้
  6. พยายามอย่าให้เหงื่อออก หากคุณรู้ตัวว่าเป็นคนที่เหงื่อออกง่ายหรือออกมากอยู่แล้ว ก็ควรจะระวังอย่าให้เหงื่อออก ให้เลือกอยู่ในสถานที่ที่มีอากาศถ่ายเทมาก ๆ ไม่งั้นลมโชยมาทีคนรอบข้างอาจสลบเพราะกลิ่นเปรี้ยวของคุณก็ได้
  7. เปลี่ยนเสื้อผ้าทุกวัน รวมถึงชุดชั้นในและถุงเท้าด้วย เสื้อผ้าที่เราสวมใส่ในระหว่างวันจะถูกดูดซับไปด้วยเหงื่อและแบคทีเรียต่าง ๆ หากเราใส่เสื้อชุดเดิมโดยไม่นำไปซักทำความสะอาดเสียก่อน ก็จะทำให้เกิดกลิ่นอันไม่พึงประสงค์ได้ แม้ว่าเราจะอาบน้ำสะอาดเอี่ยมแล้วก็ตาม
  8. เลือกใส่เสื้อผ้าให้หลวมขึ้น เสื้อผ้าที่คับพอดีตัวจะทำให้มีเหงื่อออกมากและมีการระบายอากาศได้ไม่ดี จนทำให้เกิดกลิ่นตัวได้ ทางที่ดีคุณควรเลือกขนาดเสื้อผ้าหรือชุดชั้นในที่เมื่อสวมใส่แล้วเคลื่อนไหวร่างกายได้สะดวกสบาย มีช่องว่างเหลือระหว่างร่างกายและเสื้อผ้าบ้าง
  9. เลือกใช้เนื้อผ้าจากธรรมชาติ เสื้อผ้าที่เราสวมใส่อยู่นั้นก็เกี่ยวข้องกับการเกิดกลิ่นตัวเช่นกัน โดยเส้นใยจากธรรมชาติอย่างคอตตอนและลินิน จะช่วยระบายอากาศได้ดีกว่าใยสังเคราะห์อย่างไนลอน และที่สำคัญเส้นใยธรรมชาติเมื่อใส่แล้วยังทำให้เย็นสบายตัวได้อีกด้วย
  10. ทำความสะอาดเสื้อผ้าให้ดี โดยเฉพาะเสื้อตัวที่มีกลิ่นติดอยู่ ให้ซักด้วยวิธีการซักมือและเน้นซักบริเวณใต้วงแขนหรือรักแร้ทั้งสองข้างให้สะอาดและไม่มีกลิ่น ส่วนเสื้อผ้าที่ไม่มีกลิ่นก็ให้ซักด้วยเครื่องซักผ้าตามปกติ และไม่ควรใส่ผ้าจนแน่นเกินไป ส่วนตอนตากผ้าก็ควรตากที่ในโล่งโปร่งและตากให้แห้งสนิท
  11. ผ้าขนหนูช่วยได้ โดยให้หาผ้าขนหนูหรือผ้าเช็ดหน้ามาชุบน้ำแล้วบิดให้หมาด หยดน้ำหอมลงไปเล็กน้อย แล้วนำมาเช็ดตามร่างกาย ใต้วงแขน ข้อพับ และแผ่นหลังให้ทั่ว วิธีนี้นอกจากจะช่วยขจัดกลิ่นแล้วยังช่วยทำให้คุณรู้สึกสดชื่นอย่างไม่น่าเชื่อ
  12. ไม่ควรขัดผิวบ่อย ๆ เพราะการขัดผิวจะทำให้แบคทีเรียที่มีประโยชน์ต่อร่างกายถูกทำลาย ทำให้เกิดกลิ่นตัวง่าย (ให้ขัดผิว 1-2 ครั้งต่อสัปดาห์ก็พอ)
  13. ผ่อนคลายความเครียด ตามที่ได้กล่าวมาแล้วว่าอารมณ์มีส่วนทำให้เกิดกลิ่นตัวได้ ดังนั้นคุณจึงควรหาอะไรทำเพื่อผ่อนคลายความเครียดซะบ้าง
  14. เลือกรับประทานอาหารให้หลากหลายและมีประโยชน์ รับประทานโปรตีนจำพวกธัญพืชต่าง ๆ ผักสดทั้งผักใบเขียวและใบเหลือง ผลไม้สด โดยเฉพาะแก้วมังกร รวมไปถึงอาหารที่มีธาตุสังกะสีหรือแมกนีเซียม เช่น ข้าวซ้อมมือ ขนมปังโฮลวีท และอาหารทะเล
  15. หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่มีกลิ่นแรง อาหารจำพวกเนื้อสัตว์ เช่น แกงกะหรี่ กระเทียม ชะอม สะตอ ทุเรียน เครื่องเทศต่าง ๆ หมู ไก่ ไข่ ตับ รวมทั้งช็อกโกแลต ลูกเกด ถั่วลิสง หรือเลือกรับประทานให้พอเหมาะ ไม่รับประทานมากจนเกินไป
  16. ดีทอกซ์ (Detox) สารพิษที่สะสมอยู่ในร่างกายก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งของการเกิดกลิ่นตัวได้เหมือนกัน การดีทอกซ์เป็นประจำก็อาจจะช่วยแก้ปัญหานี้ได้
  17. แป้งดับกลิ่นตัว ที่นิยมกันมากจะมีอยู่ 2 ยี่ห้อ คือ แป้งตราเต่าเหยียบโลก และ แป้งสะอาด โดยการนำมาใช้ทาให้ทั่วหลังอาบน้ำเสร็จ โดยเฉพาะบริเวณรักแร้ที่ให้เน้นทาเป็นพิเศษหน่อย เพราะเป็นจุดอับที่เป็นตัวแพร่ขยายของแบคทีเรียได้ สามารถหาซื้อได้ตามร้านค้าทั่วไป
    แป้งตราเต่าเหยียบโลก
  18. น้ำหอม โรลออน สเปรย์ระงับกลิ่นตัว โดยให้ใช้ฉีดหรือทาให้ทั่วร่างกายเพื่อระงับกลิ่น โดยเฉพาะบริเวณหน้าอกก่อนไปทำงานทุกเช้าก็ช่วยได้
    สเปรย์ระงับกลิ่นตัว
  19. น้ำยาระงับกลิ่นกาย หรือ ดีโอโดแรนท์ (Deodorant) ซึ่งเป็นอีกหนึ่งวิธีที่ดูจะเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ แต่ก็นิยมกันมาก โดยน้ำยาระงับกลิ่นกายเป็นสารเคมีที่มีฤทธิ์ยับยั้งเชื้อแบคทีเรียได้ เพราะกลิ่นกายเกิดจากเชื้อแบคทีเรียเข้ามาผสมกับเหงื่อ หากเราใช้น้ำยาระงับกลิ่นกายที่มีฤทธิ์ยับยั้งแบคทีเรีย กระบวนการที่ทำให้เกิดกลิ่นก็จะไม่เกิดขึ้น และน้ำยาระงับกลิ่นกายบางยี่ห้อยังมีสารระงับเหงื่อที่ผสมอยู่ด้วย ซึ่งจะช่วยเข้าไปจัดการกับเม็ดเหงื่อที่ผุดออกมา ทำให้เราไม่มีกลิ่นกาย นอกจากนี้น้ำยาระงับกลิ่นกายทั้งหลายก็มักจะใส่น้ำหอมเข้าไปด้วย ทำให้เรามีกลิ่นตัวหอม ๆ แทนกลิ่นเหงื่อและกลิ่นอันไม่พึงประสงค์ (ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าให้เปลี่ยนยี่ห้อหรือสูตรน้ำยาระงับกลิ่นกายทุก ๆ 6 เดือน เนื่องจากร่างกายสามารถต่อต้านสารระงับเหงื่อเหล่านั้นได้) แต่สำหรับบางคนอาจทำให้เกิดอาการแพ้และทำให้เกิดผื่นดำได้
    น้ำยาระงับกลิ่นกาย
  20. ยาระงับเหงื่อ หรือ แอนตีเพอร์สไปแรนท์ (antiperspirant) ให้เลือกใช้แบบที่ไม่มีส่วนผสมของน้ำหอม (ที่มีขายตามท้องตลาดทั่วไปมักมีส่วนผสมของน้ำหอม) เพราะจะทำให้เกิดการอักเสบและทำให้รักแร้ดำจากผื่นได้ โดยยาทาชนิดนี้จะไปทำปฏิกิริยาให้เกิดการอุดตันในท่อเหงื่อและลดการไหลของเหงื่อได้ ทางที่ดีคุณควรไปพบแพทย์เพื่อสั่งยาที่มีส่วนผสมของอะลูมิเนียมคลอไรด์ 20% สำหรับทาระงับเหงื่อ
    ยาระงับเหงื่อ
  21. สารสกัดจากธรรมชาติ น้ำมันสกัดจากพืชหลายชนิดและสารสกัดจากธรรมชาติหลายชนิดก็มีสรรพคุณระงับกลิ่นกายได้เช่นกัน ซึ่งคุณสามารถเลือกใช้หรือทำน้ำยาระงับกลิ่นกายจากสารสกัดธรรมชาติเหล่านี้ได้ด้วยตัวเองอย่างสารส้มสามารถช่วยระงับกลิ่นกายได้อย่างอยู่หมัด หรือจะใช้สารส้มสะตุนำมาผสมกับพิมเสนอย่างละเท่า ๆ กัน บดให้ละเอียด แล้วผสมแป้งฝุ่นหรือดินสอพอง หยดน้ำลงไปนิดหน่อย แล้วนำมาใช้ทารักแร้
  22. สารส้ม (Focal) ของดีจากธรรมชาติที่ช่วยดับกลิ่นอันไม่พึงประสงค์ใต้วงแขนได้อย่างดีเยี่ยม มีทั้งแบบก้อน (ดั้งเดิม), แบบแท่ง, แบบผง, แบบน้ำ, แบบสเปรย์ ใช้หลังอาบน้ำดับกลิ่นได้สุดยอดนัก อีกทั้งยังช่วยทำให้รักแร้ขาวด้วยนะเออ (แต่บางคนใช้แล้วรักแร้ดำก็มีนะครับ) ใครแพ้น้ำหอม แพ้โรลออน แพ้เต่าเหยียบโลก ไปซื้อมาลองใช้ดูครับ ไม่ผิดหวังแน่นอน !!
    สารส้ม
  23. ปูนแดง ก็ใช้ลดกลิ่นตัวได้ ด้วยการใช้ปูนแดงผสมกับน้ำทารักแร้หลังอาบน้ำ หรือจะใช้ปูนแดงและใบตำลึงนำมาตำผสมกัน ใช้พอกรักแร้ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาทีแล้วล้างออก ซึ่งความเป็นด่างของปูนแดงจะช่วยปรับภาวะกรดในร่างกายที่ขับแบคทีเรียออกมาบนผิวได้ แต่ก็อย่าใช้ปูนแดงในปริมาณที่มากจนเกินไปล่ะ เพราะจะกัดผิวได้ หากทำเป็นประจำกลิ่นตัวก็จะหายไปอย่างถาวร (เขาว่างั้นนะ) อีกทั้งยังทำให้ขนรักแร้ลดน้อยลงอีกด้วย
  24. เบคกิ้งโซดาหรือผงฟู ก็ช่วยขจัดกลิ่นตัวได้ โดยให้นำเบคกิ้งโซดามาผสมกับน้ำเล็กน้อยให้พอข้น แล้วนำมาทาบริเวณรักแร้ทิ้งไว้ประมาณ 10 นาที แล้วล้างออก โดยเบคกิ้งโซดาจะช่วยลดกลิ่น ทำลายแบคทีเรีย และขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วได้ด้วย
  25. น้ำสกัดจากใบสะระแหน่ ลองไปหาซื้อน้ำสกัดใบสะระแหน่มาผสมกับน้ำเปล่า แล้วลงไปแช่ดูสักประมาณ 10 นาที ซึ่งน้ำมันสกัดจากใบสะระแหน่นี้จะมีสรรพคุณช่วยผ่อนคลายความเมื่อยล้าและขจัดกลิ่นตัวได้ดี
  26. สมุนไพรดับกลิ่นตัว ผักสมุนไพรที่ช่วยระงับกลิ่นกายได้มีอยู่หลายชนิด เช่น การรับประทานผักแขยงแบบสด ๆ, การรับประทานผักกวางตุ้ง, การใช้น้ำมันพิมเสนต้น (Patchouli oil) ผสมกับน้ำอาบ, ใช้ข่อยขัดรักแร้, ใช้ใบพลูหรือใบฝรั่งนำมาโขลกให้ละเอียด แล้วนำมาทาบริเวณรักแร้ทิ้งไว้ประมาณ 10 นาที แล้วอาบน้ำล้างออกให้สะอาด หรือจะใช้มะขามเปียกหรือมะนาวแทนก็ได้ หรือจะใช้มะเขือเทศขนาดเท่าผลส้มเขียวหวานประมาณ 5 ผล ใส่น้ำ 2 แก้วปั่นในเครื่องปั่นให้ละเอียด แล้วใช้ผ้าขาวบางกรองเอาแต่น้ำมาเทผสมกับน้ำในอ่างอาบ โดยให้ลงไปแช่ประมาณครึ่งชั่วโมง หากทำเป็นประจำก็จะช่วยลดกลิ่นตัวให้เหลือน้อยลงได้ นอกจากนี้ยังมีสมุนไพรอื่น ๆ อีกหลายชนิดที่ช่วยลดกลิ่นตัวได้ เช่น รากสามสิบ, ใบขลู่สด (Pluchea indica Less.), เถาและใบตำลึง หรือแม้แต่คลอโรฟิลล์ เป็นต้น
  27. วิตามินและแร่ธาตุ ก็ช่วยต้านกลิ่นตัวได้ เช่น วิตามินซีที่ช่วยผ่อนคลายความเครียด ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดกลิ่นตัว หรือเลือกรับประทานวิตามินบี 1 ปริมาณ 50 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้ง และให้ลดลงเหลือ 20-30 มิลลิกรัม เมื่ออาการเริ่มดีขึ้นแล้ว ทั้งนี้ก็เพื่อควบคุมอาการ, รับประทานวิตามินบีคอมเพล็กซ์ 25,000 I.U. หนึ่งวันต่อสัปดาห์ นอกจากนี้วิตามินบี 6 สังกะสี และแมกนีเซียมก็ช่วยได้เช่นกัน โดยให้เลือกรับประทานอาหารเสริมที่มีแร่ธาตุเหล่านี้ก็สามารถช่วยระงับกลิ่นตัวได้เช่นกัน
  28. การอบสมุนไพรและอาบน้ำสมุนไพร ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ช่วยลดและระงับกลิ่นตัวได้ ไม่เชื่อลองดู
  29. โบทอกซ์ (Botox) สำหรับผู้ที่มีกลิ่นตัวแรงมากจนน้ำหอมหรือผลิตภัณฑ์กำจัดกลิ่นเอาไม่อยู่ คุณอาจจะต้องปรึกษาหมอโรคผิวหนังเกี่ยวกับวิธีการรักษาโดยตรง ซึ่งการรักษาด้วยวิธีการฉีดโบทอกซ์ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจ ที่สามารถช่วยลดเหงื่อบริเวณรักแร้ได้ดี โดยวิธีนี้จะไปช่วยยับยั้งสารที่หลั่งออกมาควบคุมระบบประสาทที่ทำให้เกิดการหลั่งของเหงื่อ เพราะฤทธิ์ยาจะช่วยให้ขับเหงื่อน้อยลง โดยสามารถลดเหงื่อได้มากถึง 83% ส่งผลให้มีกลิ่นตัวลดลง แต่จะต้องฉีดยาซ้ำเรื่อย ๆ ทุก 3-6 เดือน ราคาทำต่อครั้งก็ประมาณ 10,000 บาทขึ้นไป
    โบท็อกซ์รักแร้
  30. miraDry ทางเลือกใหม่ที่รักษาโดยใช้อุปกรณ์ทางการแพทย์ที่มีประสิทธิภาพและปลอดภัย miraDry คือการใช้ปืนไมโครเวฟทำลายต่อมเหงื่อใต้วงแขนอย่างถาวร โดยวิธีนี้จะออกแบบมาเพื่อใช้กับต่อมเหงื่อใต้วงแขนหรือรักแร้เท่านั้น ซึ่งจะไม่ส่งผลเสียกับคุณอย่างแน่นอน โดยเฉพาะสำหรับสาว ๆ ซึ่งไม่เพียงแต่วิธีนี้จะช่วยแก้ปัญหาเรื่องกลิ่นเหงื่อใต้วงแขนได้แล้ว ยังช่วยกำจัดขนรักแร้ใต้วงแขนได้อีกด้วย
    miraDry
  31. คลื่นความถี่วิทยุ (Radio Frequency: RF) มีกลไกการทำงานโดยการใช้คลื่นความถี่วิทยุเข้าไปทำลายต่อมกลิ่นและต่อมเหงื่อให้หยุดการทำงานอย่างถาวร และการปล่อยคลื่น RF เข้าไปรักษานี้ยังช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้วผิวหนัง ทำให้ผิวตึงกระชับและมีความยืดหยุ่นได้อีกด้วย โดยจะช่วยลดเหงื่อและการเกิดกลิ่นได้
  32. ไอออนโต (Iontophoresis) การทำไอออนโตที่ฝ่ามือและฝ่าเท้า วิธีนี้สามารถรักษาภาวะเหงื่อออกมาจากฝ่ามือและฝ่าเท้าได้พอสมควร โดยการใช้มือแช่น้ำแล้วผ่านกระแสไฟฟ้าอ่อน ๆ ประมาณ 30 นาทีต่อครั้ง แต่ผลการรักษาจะไม่อยู่ถาวร และต้องทำซ้ำหลายครั้ง ๆ การทำต่อครั้งก็ประมาณ 200-500 บาท
    ไอออนโตลดเหงื่อ
  33. เลเซอร์ YAG เป็นเลเซอร์ที่ถูกมาใช้กำจัดขนรักแร้เป็นหลัก มีผลพลอยได้คือช่วยกำจัดกลิ่นรักแร้ ราคาทำครั้งละประมาณ 5,000 บาท และต้องทำประมาณ 5-6 ครั้งขึ้นไป เพื่อผลในการรักษาที่ชัดเจน
  34. สำหรับผู้ที่เป็นโรคกลิ่นตัวเหม็น Fish-Malodor Syndrome (FOS ) ซึ่งเป็นโรคทางพันธุกรรมที่เป็นได้ทั้งหญิงและชาย อาการที่เห็นได้ชัดคือมีกลิ่นตัวเหม็นเหมือนปลาเน่า ลมหายใจและน้ำลายมีกลิ่นเหม็น สามารถลดกลิ่นเหม็นดังกล่าวได้โดยการพยายามลดอาหารที่มีโคลีนสูง (ตามที่กล่าวไปข้างต้น) รักษาโดยใช้ยาปฏิชีวนะ เช่น metronidazole (Flagyl) เพื่อไปยับยั้งการทำงานของแบคทีเรีย แต่วิธีนี้อาจจะเสี่ยงต่อการแพ้ยาได้ สำหรับวิธีที่ดีที่สุดที่หลายสถาบันกำลังพัฒนาอยู่ในขณะนี้ก็คือการตัดต่อยีน เพื่อเร่งให้ร่างกายสามารถผลิต FMO3 ให้ทำงานได้เช่นปกติ
  35. ผู้ที่มีปัญหากลิ่นตัวมากจนเกินเยียวยา แพทย์อาจแนะนำให้ผ่าตัดเพื่อตัดต่อมเหงื่อหรือเส้นประสาทที่ควบคุมต่อมเหงื่อ ซึ่งจะได้ผลดี แต่อาจทำให้เกิดแผลได้ ส่วนแพทย์บางท่านอาจแนะนำให้ผ่าตัดต่อมไขมันใต้ผิวหนังออก หรือดูดไขมันบริเวณรักแร้ออก

ขอขอบคุณบทความจาก : www.medthai.com

Back To Top