fbpx skip to Main Content
Thaihealth C Einqrstuy137

15 สิ่งที่ควรลด ละ เลิกตั้งแต่ตอนนี้ เพื่อสุขภาพดีต้อนรับปีใหม่

นิสัยทำลายสุขภาพที่ทำมาเป็นเวลานานอาจถูกเฉลยด้วยผลการตรวจสุขภาพประจำปีที่รายงานว่าชีวิตคุณกำลังจะต้องอยู่กับโรคร้ายไปตลอดชีวิต เพียงเพราะการคิดว่าสุขภาพเป็นเรื่องที่ควรใส่ใจตอนเริ่มมีอายุ ซึ่งคุณคิดผิดถนัด !

เรื่องสุขภาพเป็นเรื่องใหญ่กว่าที่เราคิดนะคะ เพราะในแต่ละวันเราต้องใช้สุขภาพในการทำงานหาเงิน ทำให้เรามีเงินทองมากมาย แต่ทำไมเราไม่คิดจะดูแลร่างกายนี้ให้ดีล่ะจริงไหม ดังนั้นกระปุกดอทคอมจึงขอแชร์แนวทางดี ๆ เพื่อสุขภาพมาให้ลองอ่านกันเอาไว้เป็นตัวอย่าง โดยเฉพาะพฤติกรรม 15 ข้อที่ถ้าลด ละ เลิกได้แล้วจะมีสุขภาพดีขึ้นทันตาเห็นเลย และเราก็รับรองว่าสุขภาพของคุณในปีหน้าจะไม่มีสัญญาณเตือนของโรคร้ายคอยตามหลอกหลอนอีกต่อไป

1. ลดนิสัยติดรสหวาน

พฤติกรรมติดกินรสหวานของคนไทยเพิ่มสูงขึ้นทุกปีนะคะ นั่นคงเป็นผลมาจากเทรนด์การบริโภคของคนในสังคม ที่ทุกวันนี้มีแต่คนขายของหวาน ๆ อยู่เต็มไปหมดเลย โดยเฉพาะความหวานที่แฝงอยู่ในเครื่องดื่มเย็น ๆ ชื่นใจต่าง ๆ เช่น ชา กาแฟ หรือจะเป็นขนมเบเกอรี่เจ้าอร่อยทั้งหลาย รวมถึงน้ำตาลที่แฝงมาในคราบของสารให้ความหวานแทนน้ำตาล เช่น แอสปาแตม ที่มักจะอยู่ในอาหารจำพวกซีเรียลเพื่อสุขภาพ โยเกิร์ตไขมันต่ำ และบรรดาของหวาน ๆ เหล่านี้แหละที่นำมาซึ่งโรคเรื้อรังยอดฮิต ได้แก่ โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง และโรคหัวใจ ดังนั้นควรใส่ใจในอาหารที่เรากินทุกมื้อด้วยนะคะว่าในแต่ละวันเราให้ความหวานกับตัวเองมากเกินไปแล้วหรือยัง
2. ลดนิสัยติดรสเค็ม

การติดกินรสเค็มสามารถนำมาซึ่งโรคร้ายให้เราได้นะคะหากบริโภคมากเกินพอดี เช่น โรคไตวาย ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจและหลอดเลือด เป็นต้น เป็นเพราะโซเดียมที่แฝงอยู่ในกลุ่มอาหารสำเร็จรูปนั่นเองโดยเฉพาะอาหารประเภทบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป อาหารแช่แข็ง เช่น เกี๊ยวแช่แข็ง อาหารแปรรูป เช่น ไส้กรอก เบคอน และแฮม รวมถึงขนมกรุบกรอบรสอร่อยที่เรามักติดมือมากินกรุบกริบยามบ่ายนั่นเอง ดังนั้นหากจะเลิกนิสัยกินเค็มก็ไม่ยากเลยค่ะ แค่ระวังเรื่องปริมาณการกินในแต่ละมื้อเท่านั้น โดยอาจจะลดรสเค็มลงครึ่งหนึ่งจากที่เคยกิน เช่น ไม่ปรุงเพิ่มเวลากินก๋วยเตี๋ยว หรือไม่ราดน้ำปลาพริกลงบนข้าวราดแกง เพียงแค่นี้สุขภาพก็ดีขึ้นได้แล้วค่ะ

3. ลดทานเนื้อแดงลงสักนิด เพราะเนื้อขาวก็มีประโยชน์

าวกปิ้งย่างคงจะไม่ถูกใจข้อนี้แน่ ๆ เชียว เพราะเรากำลังจะแนะนำให้ลดปริมาณการกินเนื้อสัตว์ลงบ้าง ถ้าหากกินมากไประบบย่อยอาหารจะพังเอานะคะ ลองนึกดูเล่น ๆ ว่าหากเรากินเนื้อแดงร่างกายจะต้องใช้เวลาย่อยประมาณ 4-7 ชั่วโมง อีกทั้งยังสะสมเป็นไขมันอุดตันในลำไส้ด้วย ในขณะที่ถ้าเนื้อขาวใช้เวลาย่อยเพียง 2 ชั่วโมงเท่านั้นโดยที่ไม่มีไขมันสะสมในร่างกายด้วย ดังนั้นเมื่อรู้แบบนี้ก็อย่าลืมหันมากินพวกเนื้อปลาดูให้ลำไส้ได้พักผ่อนบ้าง ที่สำคัญคือทำให้เราไม่มีไขมันส่วนเกินสะสมในร่างกาย
4. เลิกนอนดึก
 
            ปีหน้าขอท้าให้คุณลองนอนแต่หัวค่ำ เพราะไม่เพียงแต่จะทำให้เรารู้สึกสดใสร่าเริงในเช้าวันต่อมาแล้ว ยังดีต่อกระบวนการซ่อมแซมเซลล์ต่าง ๆ ในร่างกายเราอีกด้วยนะ แต่ถ้านอนดึกผลก็คือคุณจะเสี่ยงเป็นโรคหัวใจ แล้วก็ทำให้ดูแก่กว่าวัยอีกด้วย หากคุณทำได้เชื่อว่าหลายคนต้องมาถามเคล็ดลับหน้าเด็กจากคุณแน่ ๆ
5. เลิกคิดว่าอาหารเช้าไม่สำคัญ
หนุ่มสาวชาวออฟฟิศที่มักจะเพิ่มพลังให้ตัวเองในตอนเช้าด้วยกาแฟหนึ่งแก้ว กับขนมปังหนึ่งแผ่น คงไม่รู้อะไรซะแล้วว่ามื้อเช้าที่ดีน่ะเป็นมื้อสำคัญที่สุด เพราะเป็นมื้อที่ทำให้เรามีแรงทำกิจวัตรประจำวันต่าง ๆ อย่างเต็มที่  อีกทั้งเรายังสามารถกินเข้าไปเยอะเท่าไรก็ได้ โดยร่างกายก็จะดึงเอาไปเลี้ยงเซลล์ต่าง ๆ จนหมดไม่เหลือเป็นไขมันส่วนเกินแน่นอน ดังนั้นไม่ว่าจะตื่นสายแค่ไหน อย่าลืมแวะตุนเสบียงอาหารเช้าด้วย ผลดีของการไม่อดอาหารเช้าก็คือ ไม่เป็นโรคกระเพาะอาหาร กรดไหลย้อน และลำไส้อักเสบ หากใครไม่มีไอเดียอาหารเช้า 5 หมู่เราขอแนะนำ ขนมปัง 1 แผ่น กาแฟใส่นม 1 แก้ว ไข่ต้ม 1 ฟอง และแอปเปิล 1 ผล อ้อ ! อย่าลืมน้ำดื่มเปล่าให้ได้ 1 แก้วด้วยนะคะ
6. เลิกบุหรี่
            ปี 2018 ที่กำลังจะมาถึงนี้เราขอให้เป็นปีที่โรคมะเร็งคร่าชีวิตคนน้อยลงกว่าทุกปี เพราะการเลิกบุหรี่นำมาซึ่งสุขภาพที่ดีต่าง ๆ มากมาย เช่น สุขภาพของตับ ปอด และหลอดเลือดหัวใจดีขึ้น ยังส่งผลให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งขึ้นด้วย ดังนั้นใครที่เป็นสิงห์อมควันมาตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ เราก็ขอให้ปีนี้เป็นปีที่คุณสูบบุหรี่น้อยลงกว่าทุกปีแล้วกันนะคะ
7. เลิกติดเครื่องดื่มอัดลม
            สำหรับใครที่พบว่าตัวเองขาดเครื่องดื่มอัดลมไม่ได้ ในหนึ่งวันดื่มตลอดทั้งเช้า สาย บ่าย เย็น เผลอ ๆ มีรอบดึกอีกต่างหาก ขอแนะนำให้ลดและเลิกเพราะภัยของเครื่องดื่มอัดลมมาพร้อมกับโรคอ้วน โรคเบาหวานและความดันโลหิต โรคกระดูกพรุน และยังส่งผลให้ผิวพรรณเราหยาบกร้านอีกด้วย ดังนั้นหันมาดื่มน้ำเปล่าให้มากขึ้นดีกว่า ทราบแล้วเปลี่ยนนะคะ !
8.เลิกเหล้า
            ข้อนี้บรรดานักดื่มคอทองแดงทั้งหลายควรฟังให้ดีเชียวค่ะ เพราะโทษของการดื่มเหล้าน่ะ ไม่ได้ให้ผลร้ายเฉพาะตัวคุณเองแต่ยังมีผลต่อคนรอบข้างด้วย ซึ่งโทษของเหล้าที่มีต่อสุขภาพคือ ตับแข็ง หัวใจวาย และโทษที่อาจกระทบถึงคนรอบข้างคือ คุณอาจเมาไม่ได้สติแล้วไปทำร้ายผู้อื่น หรือเป็นเหตุทะเลาะวิวาทและอาชญากรรมโดยไม่รู้ตัว รวมถึงอุบัติเหตุบนท้องถนนด้วย ดังนั้นปีใหม่นี้ลองเปลี่ยนมาฉลองแบบไม่มีเหล้าดูบ้างนะคะ
9. เลิกกินอาหารฟาสต์ฟู้ด
ต้องยอมรับว่าอาหารฟาสต์ฟู้ดทุกวันนี้ทำให้คนเราขี้เกียจมาก เห็นได้จากการขี้เกียจคิดแต่อยากอิ่ม ก็เลยต้องฝากท้องไว้กับร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดส์  ซึ่งโทษของการกินอาหารเหล่านี้ทำให้เป็นโรคอ้วน และโรคไตได้ เพราะอาหารฟาสต์ฟู้ดเหล่านี้แทบไม่มีคุณค่าสารอาหารในหมู่ใดเลย นอกจากเนื้อสัตว์ที่มีโซเดียมแฝงอยู่ และพลังงานอิ่มท้องที่มาจากแป้ง อาจมีปริมาณผักเล็กน้อยแก้เลี่ยน แต่เมื่อกินเข้าไปแล้วร่างกายเอาไปสะสมอย่างเดียวเลยจ้า ไม่สามารถนำมาใช้หล่อเลี้ยงเซลล์ใด ๆ ในร่างกายได้เลย
10. เลิกหาข้ออ้างไม่ออกกำลังกาย
            หากจะทำให้ปีหน้านี้เป็นปีที่คุณมีสุขภาพดีจริง ๆ ก็ต้องปรับพฤติกรรมให้หันมาออกกำลังกายด้วย ซึ่งเทรนด์การออกกำลังกายทุกวันนี้เรียกว่ามีเวลาแค่ 25 นาทีก็หุ่นเฟิร์มได้แล้ว ดังนั้นเลิกอ้างว่าไม่มีเวลา หากใครบ่นว่าไม่มีแรงจูงใจฟิตหุ่นเลย เราขอแนะนำว่าให้เริ่มจากการโหลดเพลงจังหวะมันส์ ๆ ที่อยากฟังมาไว้ในไอพอด หรือสมาร์ทโฟนของเราก็ได้ แล้วลองเดินเล่นฟังเพลงเหล่านี้ไปพลาง รับรองคุณต้องอยากเปลี่ยนชุดออกไปวิ่งตามจังหวะเพลงแน่ ๆ
11. เลิกไดเอตด้วยการอดอาหาร
หลายคนอยากผอมให้ได้ทันใจเลยใช้วิธีการอดอาหารซะเลย ซึ่งเราขอบอกเลยว่าเป็นวิธีที่ผิดมหันต์ เพราะการอดอาหารจะทำให้สมองของเรารับรู้ว่า “กำลังจะอดตายต้องกินสะสมไว้ก่อน” และจะสั่งการไปกระตุ้นต่อมอยากอาหารให้เราอยากกินอะไรหนักขึ้นกว่าเดิมนั่นเอง ทางที่ดีคือ กินอาหารเหมือนเดิมทุกประการแต่ลดปริมาณการกินลง ส่วนถ้าอยากผอมด่วน ๆ ก็ลองงดอาหารประเภทแป้ง น้ำตาล และความเค็มลงดูวันละมื้อ เพราะสามสิ่งนี้จะทำให้เราตัวบวมฉุ บริหารร่างกายอย่างไรก็ไม่เฟิร์มสักที
12. เลิกบ้างาน
            นิสัยในข้อนี้เหมาะสำหรับเวิร์กกิ้งวูแมน และแฟมิลี่แมนที่ต้องสู้ชีวิตเพื่อครอบครัวอย่างมาก เพราะพวกเขาเหล่านี้มักจะหอบหิ้วความเครียดกลับมาบ้านด้วย ส่วนหนึ่งเพราะคิดเรื่องงานตลอดเวลา เราขอบอกเลยค่ะว่า ให้คุณลดนิสัยเอางานกลับมาทำที่บ้านลงอีกสักนิด เพราะนิสัยแบบนี้จะทำให้คุณเครียดอยู่ตลอดเวลา พาลให้ร่างกายทรุดโทรมเอาง่าย ๆ อันเป็นที่มาของโรคออฟฟิศซินโดรม โรคเครียด และโรคหัวใจ ดังนั้นขอให้จัดลำดับความสำคัญของงานแล้วจัดการเคลียร์ไปตามลำดับนั้น เพียงเท่านี้ก็จะช่วยให้คุณมีเวลาผ่อนคลายกับครอบครัวมากขึ้นแล้ว
13. เลิกเครียด
นิสัยเครียดรุมเร้าจากการที่ชีวิตติดขัด ไม่ว่าจะเป็นหนี้ สอบตก อกหักรักคุด ขึ้นคาน  ตกงาน เป็นต้น เราขอเตือนสติว่าให้มองว่าปัญหาเหล่านี้มีทางออกรออยู่แล้ว ขอเพียงแต่คุณต้องตั้งสติค่อย ๆ แก้ปัญหาไปทีละส่วน เพราะถ้าหากเอาเรื่องเครียดมาเหมารวมกันหมด คุณเสี่ยงจะเป็นโรคไมเกรน โรคหัวใจ โรคจิต เอาได้นะ
14. เลิกแต่งหน้าให้ดูเป๊ะ
 สาว ๆ ที่มักจะแต่งหน้าจัดเต็มเสมอทุกเวลา ในปีนี้เมื่อเทรนด์สุขภาพดีกำลังมาแรง ทำไมเราไม่ลองแต่งหน้าบาง ๆ เผยให้เห็นความสวยธรรมชาติของเราบ้างล่ะ  ดีไม่ดีอาจมีหนุ่ม ๆ มาขายขนมจีบมากขึ้นกว่าเดิมก็ได้ ซึ่งข้อเสียของการประโคมเมคอัพทุกวันก็คือ สุขภาพผิวหน้าเราจะอ่อนแอลงทุกวันด้วยฤทธิ์ของสารเคมีในเครื่องสำอางที่ใช้เป็นประจำ อันเป็นสาเหตุให้ผิวหน้าเราเหี่ยวย่นก่อนวัยอันควร มีสิวขึ้นเรื้อรัง รวมถึงอันตรายต่อระบบอื่น ๆ ในร่างกาย เช่น เยื่อบุตาอักเสบจากมาสคาร่า และอายไลเนอร์ เป็นต้น
15. เลิกติดหนึบโลกโซเชียลมีเดีย
            ในยุคที่สมาร์ทโฟนของเราสามารถสร้างความบันเทิงเริงใจให้เราได้ตลอดทั้งวัน เช่น ถ่ายรูป เช็กอินสถานที่ท่องเที่ยว เล่นเกม รวมถึงเอาไว้แชทกับก๊วนเพื่อนสนิท ซึ่งหากเพลิดเพลินแบบนี้ได้ทั้งวันอาจส่งผลร้ายต่อสุขภาพเราได้ เช่น ปวดคอ ปวดหลัง สายตาสั้นขึ้น เสี่ยงเป็นโรคตาต้อ ไมเกรนขึ้น  ดังนั้นหากไม่อยากให้สุขภาพในปีหน้าแย่ลงเพราะสมาร์ทโฟนสุดรักสุดหวงละก็หันมาใช้สมาร์ทโฟนในเวลาที่จำเป็นดีกว่า แล้วคุณจะพบว่ามีเรื่องน่าสนใจให้ทำอีกเยอะเลยอีกทั้งความสัมพันธ์ของคุณกับคนรอบข้างก็จะดีขึ้นอีกด้วย
                จากตัวอย่าง 15 นิสัยบ่อนทำลายสุขภาพที่เรานำมาฝากนี้สามารถสะท้อนให้เห็นว่าอะไรที่มากเกินพอดีย่อมเป็นผลเสียกับตัวเรา ดังนั้นหากใครอ่านดูแล้วพบว่าตัวเองเข้าข่ายข้อไหนก็ขอให้พยายามลด ละ เลิกให้ได้ แม้ว่าจะทำไม่สำเร็จ 100% ภายในเวลาอันสั้น แต่ก็ยังดีกว่าไม่เริ่มต้นเลยนะคะ
ขอบคุณข้อมูลจาก : https://health.kapook.com/view106579.html
Back To Top