fbpx skip to Main Content
เหนียง

มีเหนียง กรอบหน้าไม่ชัดทำไงดี??

วิธีลดเหนียงใต้คาง (คาง 2 ชั้น) /มีไขมันบริเวณเหนียงใต้คางทำไงดี ?

เหนียงใต้คาง

เหนียงใต้คาง

ไขมันเหนียงใต้คาง

าว ๆ หลายคนอาจจะไม่ได้อ้วน แต่กลับมีเหนียงหรือไขมันมาสะสมบริเวณใต้คางเป็นจำนวนมาก ทำให้มีอุปสรรคในการถ่ายรูป ถ่ายรูปออกมาไม่สวย ต้องเสียเวลามาปรับมุมกล้องกันอยู่นาน เพราะรูปหน้าดูหลอกตาไม่เหมือนตัวจริงเลย ถ่ายยังไงรูปหน้าก็ดูกลมไปซะทุกรูปหรือสำหรับสาว ๆ ที่มีน้ำหนักตัวมาก จนทำให้เหนียงใต้คางออกมาให้เห็นอย่างชัดเจน สำหรับสาเหตุของปัญหาเหนียงยาน เหนียงห้อย เกิดจากหลายปัจจัย ดังนี้ค่ะ

1.ปริมาณไขมันชั้นใต้ผิวหนังมีปริมาณมาก

2.ผิวหนังบริเวณใต้คางและคอห้อยและหย่อนคล้อย

3.กล้ามเนื้อภายในบริเวณใต้คางและลำคอ (SMAS) หย่อนคล้อย

การแก้ไขปัญหาเหนียงยาน เหนียงห้อย จึงจำเป็นต้องแก้ไขให้ตรงจุด ต้องแก้ที่สาเหตุดังกล่าวแล้ว ซึ่งสาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากปริมาณไขมันใต้ผิวหนังที่มีปริมาณมาก มักเกิดจากน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้น ไม่ควบคุมอาหาร ไม่ออกกำลังกายนั่นเอง

 วิธีลดเหนียงใต้คางมีอะไรกันบ้างมาดูกันเล้ยยย

บริหารคิลดเหนียง

บริหารคอลดเหนียง

1.ออกกำลังกาย

      การออกกำลังกายเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างมากในการกำจัดเหนียงหรือไขมันส่วนเกินใต้คางที่ได้ผลดีที่สุด  เมื่อเราออกกำลังกายเป็นประจำไขมันที่สะสมอยู่บริเวณคางหรือเหนียงนั้นจะค่อย ๆ ถูกเผาผลาญไปทีละน้อย และยังช่วยเพิ่มความกระชับเต่งตึงให้กับบริเวณใต้คางที่หย่อนคล้อยจากการสูญเสียไขมันได้ด้วย แต่สำหรับวิธีนี้ก็อาจใช้ได้ผลกับบางคนเท่านั้นค่ะ เนื่องจากบางคนถึงแม้จะลดน้ำหนักตัวได้ แต่เหนียงใต้คางก็ไม่จางหายไป อาจจะมีสาเหตุมาจากกรรมพันธุ์ก็ได้ แต่ก็อย่าเพิ่งเศร้าไป เพราะศาสตร์ในการออกกำลังกายนั้น ถ้าหากเราต้องการลดไขมันส่วนใดเป็นพิเศษเราก็ต้องออกกำลังกายส่วนนั้นเป็นหลัก เช่น อยากมีต้นขาเรียวสวยก็ต้องเน้นการปั่นจักรยาน แต่ถ้าอยากจะลดเหนียงหรือไขมันใต้คาง ก็ต้องออกกำลังกายหรือบริหารกล้ามเนื้อบริเวณคอนั่นเองค่ะ

เคี้ยวหมากฝรั่ง

เคี้ยวหมากฝรั่ง

2.เคี้ยวหมากฝรั่ง

      เป็นอีกวิธีหนึ่งในการลดเหนียงใต้คางได้ นอกจากจะช่วยระงับกลิ่นปากแล้วยังเป็นการช่วยบริหารขากรรไกรไปในตัวอีกด้วยค่ะ สำหรับสาว ๆ ส่วนใหญ่คงไม่นิยมที่จะใช้วิธีนี้เพื่อลดเหนียงใต้คางกัน เพราะกลัวว่าเคี้ยวหมากฝรั่งเยอะจะทำให้กรามใหญ่จนหน้าบานและดูไม่มั่นใจในตัวเองได้ค่ะ

เฉดดิ้งหกลบเหนียง

เฉดดิ้งกลบเหนียง

3.เฉดดิ้งลดเหนียงด้วยเครื่องสำอางค์

 เริ่มจากก้มหน้าเช็คเหนียงตัวเองกันก่อน แล้วเงยหน้าขึ้น เริ่มเฉดดิ้งได้ อาจใช้รองพื้นเฉดเข้มกว่าสีผิวเพื่อความเนียน หรือจะใช้เฉดดิ้งเนื้อครีม เนื้อฝุ่นก็ตามถนัดเลยค่ะ หรือจะแต่งตาให้ดูกลมโต กับลิปสติกสีนู้ดก็ช่วยดึงความสนใจไปจากเหนียงได้ แต่อย่าให้ผมปิดมาถึงปลายคางนะคะ เพราะยิ่งปิดยิ่งเน้นให้เห็นเหนียงเข้าไปอีกค่ะ

ปรับท่ายืนลดเหนียง

ปรับท่ายืนลดเหนียง

4.ปรับปรุงท่ายืนใหม่

ท่านั่งให้หลังตรง เพราะมันจะช่วยยกชายโครงกระดูก วิธีคือ เชิดหัว ยกคางสูงขึ้นเล็กน้อย จนรู้สึกตึงๆช่วงคอ แต่อย่าให้รู้สึกตึงจนแน่นเกินไป ฟังดูเหมือนจะง่าย แต่มีหลายคนไม่รู้ตัวว่าแอบหลังงอตอนเผลอค่ะ วิธีเช็คว่าเดินหลังตรงรึยัง : ให้ลองถามคนในครอบครัวหรือเพื่อนก็ได้ ตำแหน่งของหู ไหล่ แล้วก็ข้อเท้าจะอยู่ในแนวเดียวกันค่ะ อีกหนึ่งวิธีคือ “หัวเราะบ่อยๆ” เวลามุมปากยกขึ้นก็ได้บริหารกล้ามเนื้อขากรรไกร หน้า แล้วก็คอ ที่สำคัญคือมันยังทำให้เรารู้สึกผ่อนคลาย สดใสขึ้นด้วยค่ะ

เงยคอลดเหนียง

เงยคอลดเหนียง

5.เงยคอ ท่าลดเหนียงพื้นฐาน

      ทำง่ายๆแค่เงยหน้าขึ้น แล้วก้มลงตอนกำลังนอนอยู่ เพื่อให้คางยืดตัว พอทำไปได้สักระยะ เราจะนอนหลับไปในท่านี้ ซึ่งเป็นวิธีลดเหนียงโดยไม่รู้ตัวตอนนอนหลับ ไม่ก็ลองตบคางเบาๆก็ช่วยได้เหมือนกันนะ หรือบริหารด้วยการยืดคอออกไปให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ สายตามองที่เพดาน เม้มปาก เพื่อให้รู้สึกถึงกล้ามเนื้อคอที่กระชับขึ้น ทำค้างไว้ประมาณ 10 วินาที ทำซ้ำแบบนี้ประมาณ 10 ครั้ง/วัน จะช่วยลดเหนียงน้อยๆของเราได้ไม่มากก็น้อย

ดูดไขมันลดเหนียงใต้คาง

ดูดไขมันลดเหนียงใต้คาง

6.ขี้เกียจ รอไม่ไหวแล้ว ไปทำเลยละกัน!! 

      สาวๆที่ใจร้อนก็คงมีอยู่ไม่น้อย เบื่อการต้องมาเสียเวลานั่งคอนทัวร์หน้าทุกวัน พอจะมีงบประมาณก็จัดไปเลยค่ะ ไขมันสะสมเยอะนักใช่ไหม ดูดไขมันลดเหนียงใต้คางซะเลย  ดูดไขมันเหนียงใต้คาง เหมาะกับใคร??

1)ผู้ที่มีคางสองชั้น มีไขมันใต้คางปริมาณมาก

2)อายุ 20-45 ปี เนื่องจากอายุน้อยผิวหนังภายนอกและกล้ามเนื้อภายในยังตึงกระชับอยู่ แต่เมื่ออายุมากขึ้นผิวหนังภายนอกและกล้ามเนื้อภายในจะมีการหย่อนยาน การรักษาด้วยการดูดไขมันเหนียงใต้คางเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ

3)ผู้ที่มีผิวหนังที่ยังมีความยืดหยุ่นดี

4)ผู้ที่ต้องการให้เห็นกรอบหน้าชัดเจนมากขึ้นค่ะ

 

ดูดไขมันลดเหนียงใต้คางเตรียมตัวอย่างไร??

การเตรียมตัวก่อนดูดไขมันเหนียง

การเตรียมตัวก่อนดูดไขมันเหนียง

การเตรียมตัวก่อนดูดไขมันเหนียง

 

วิธีการดูดไขมันลดเหนียงใต้คางของทางคลินิก HERS CLINIC  เป็นการดูดไขมันด้วยเทคนิคใช้สารละลายไขมันและอุปกรณ์ดูดสุญญากาศ ที่ดีกว่าการดูดไขมันแบบ Vaser และ Bodytite  การดูดไขมันด้วยเทคนิคใช้สารละลายไขมันและอุปกรณ์การดูดสุญญากาศ ข้อดีก็คือจะสามารถป้องกันการเบรินของผิวหนังที่เกิดจากคลื่นความร้อนที่ปล่อยจากอุปกรณ์ดูดไขมันของเครื่อง Vaser และ Bodytite ได้ค่ะ 

ขั้นตอนการดูดไขมันลดเหนียงที่ HERS CLINIC 

ขั้นตอนการดูดเหนียง

ขั้นตอนการดูดเหนียง

การปฏิบัติตัวหลังการดูดไขมันทำอย่างไร ?

  • ประคบเย็นบริเวณใต้คาง 2 วัน หลังจากดูดไขมัน
  • เริ่มประคบอุ่นในวันที่ 3 หลังการดูดไขมัน ประคบอุ่นจนยุบบวม
  • นอนศีรษะสูง หนุนหมอน 2 ใบ เป็นเวลา 2 วันหลังดูดไขมัน
  • ใช้ผ้ารัดหน้าบริเวณใต้คางหลังการดูดไขมันต่อเนื่อง 24 ชั่วโมง
  • ใช้ผ้ารัดหน้าบริเวณใต้คางทุกวัน อย่างน้อยวันละ 8 ชั่วโมง เป็นเวลา 1 เดือน
  • งดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ 1 สัปดาห์
  • งดวิตามินและอาหารเสริมทุกชนิด 1 สัปดาห์
  • งดออกกำลังกายทุกชนิด 1 สัปดาห์
  • ตรวจติดตามอาการตามแพทย์นัด

 

การปฏิบัติตัวหลังการดูดไขมันทำอย่างไร ?

การปฏิบัติตัวหลังการดูดไขมัน

 

 

 

 

 

 

 

 

 

ผลการรักษาดูดไขมันลดเหนียงใต้คาง

หลังดูดไขมันลดเหนียงไป ผู้ทำการรักษาจะมีอาการบวมมากที่สุดในวันที่ 3-4 หลังดูดไขมัน จากนั้นอาการบวมจะลดลงเรื่อย ๆ  เริ่มเห็นผลการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนประมาณ 1 เดือนหลังการดูดไขมันไป ผลของการดูดไขมันจะดีที่สุดประมาณ 3 เดือนหลังการดูดไขมัน ดูดไขมันที่เฮอร์คลินิก แผลเล็ก เปิดแผลใต้คาง ประมาณ 3 มิลลิเมตรเท่านั้น เจ็บน้อย บวมน้อย ผ่าตัดโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ สวยมั่นใจ ปลอดภัย หายห่วงค่ะ

 

ผลการรักษาดูดไขมันลดเหนียง

ผลการรักษาดูดไขมันลดเหนียง

ผลการรักษาดูดไขมันลดเหนียง

ผลการรักษาดูดไขมันลดเหนียง

ผลการรักษาดูดไขมันลดเหนียง

สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่: https://www.facebook.com/hersclinic/

หรือโทร: 099-189-0189 ได้เลยค่ะ    HERS  CLINIC ยินดีให้คำปรึกษาทุกท่านนะคะ

สนใจนัดปรึกษาก่อนได้ โดยไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆในการปรึกษา นัดได้วันจันทร์-วันเสาร์ เวลา 10.00-18.00 น. ติดต่อเข้ามาสอบถามคิวเพื่อทำการนัดหมายก่อนได้ค่ะ

 

 

 

Back To Top